ใกล้สิ้นปีแล้ว มาดูเรื่อง ภาษีเงินได้ เพื่อจะได้วางแผนภาษีกันครับ

                                                   ภาษีเงินได้  เรื่องน่ารู้ ที่ไม่ควรมองข้าม

            ใกล้สิ้นปีเข้ามาทุกทีนะครับ  สำหรับปี 2556  ชีวิตหนอชีวิต  ทำไมแต่ละปีมันช่างผ่านไปรวดเร็วเช่นนี้  ใจหนึ่งก็ดีใจ (แอบลุ้นโบนัส) อีกใจก็กลุ้มใจ (อายุก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ร่างกายก็ชราไปตามวัย)  แต่ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปนะครับ  แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามในทุกๆปี  นั่นก็คือเรื่องของการชำระภาษีในแต่ละปี   อาจจะดูเหมือนเรื่องไกลตัว  แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนที่ต้องเสียภาษีไม่ควรมองข้ามนะครับ  เพราะว่าภาษีมันแฝงตัวอยู่กับเราตลอดเวลา ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป  แต่ครั้งนี้ผมจะขอพูดถึงเฉพาะ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” เพียงอย่างเดียวนะครับ

                เริ่มต้นกันเลยนะครับ  เรามารู้จักคำว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  แบบง่ายๆกันก่อนนะครับ  ถ้าเพื่อนๆได้ไปอ่านในบทความวิชาการ หรือในตำราเรียน  ก็จะมีคำนิยาม ซึ่งอ่านแล้วจะวกวน  อ่านแล้วก็งง  มีเงินได้เยอะแยะมากมาย  ซึ่งในครั้งนี้ผมขอตีกรอบให้แคบลงมา  เพื่อความกระชับนะครับ  เอาเป็นว่าภาษีเงินได้ในบทความนี้  หมายถึง  เงินได้จากการทำงาน (ค่าจ้าง ,เงินเดือน,ค่าคอมมิชชั่น,ค่าธรรมเนียม) ซึ่งถ้าพูดแบบวิชาการก็ “40(1) และ 40(2)”  เป็นไงครับถ้าไม่เรียนมาหรือไม่ได้ศึกษาก็งงกันเลย ว่าอะไรคือ 40(1) และ 40(2) เอาเป็นว่ามันคือ เงินเดือน หรือค่าจ้าง รวมไปถึงค่าคอมมิชชั่น ของเราแค่นั้นพอครับ  ส่วนเรื่องใครบ้างที่ต้องจ่ายภาษีผมไม่ขอพูดถึงแล้วกันนะครับ  เพราะผมเชื่อว่าคนที่ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะรู้ตัวเองอยู่แล้วครับว่าต้องจ่าย  แต่ที่ผมจะเน้นในบทความนี้ก็จะเป็นบุคคลที่ทำงานในบริษัททั่วๆไป ที่กินเงินเดือน (มนุษย์เงินเดือน)

                จากการที่เราได้รู้ความหมายแบบง่ายๆกันแล้วนะครับ  คราวนี้เราจะมาดูกันนะครับว่าอัตราภาษีที่เพื่อนๆจ่ายในแต่ละปีนั้น อยู่ในอัตราที่เท่าไหร่กันบ้าง  เรื่องอัตราภาษีนี้ก็เช่นกันครับ  ผมจะขอตัดรายละเอียดบางตัวออกไปบ้างนะครับ เพื่อให้ดูง่ายและไม่สับสนครับ   ตามนี้เลยครับ

เงินได้สุทธิ	ช่วงเงินได้สุทธิ แต่ละขั้น	อัตราภาษี ร้อยละ
1 - 150,000	150,000	ได้รับยกเว้น
150,001 - 500,000	350,000	10
500,001 - 1,000,000	500,000	20
1,000,001 - 4,000,000	3,000,000	30
4,000,001 บาทขึ้นไป		37

                        ( อ้างอิงและดัดแปลงจาก www.rd.go.th )

             

             ตรงช่องเงินได้สุทธินั้นคือรายได้รวมทั้งปีนะครับ  ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน+โบนัส+อื่นๆ (ในรอบปี) กลัวว่าเพื่อนๆบางคนจะงงว่าแล้วโบนัสใช่มั๊ย  เอาเป็นว่าอะไรก็ตามที่แจงรายได้ในสลิปเงินเดือน ก็จะต้องนำมาคำนวณในฐานภาษีครับ (ฐานภาษี คือ รายได้รวมทั้งปี)  แต่ถ้าจะเอาให้ชัวร์นะครับ  ให้ดูจาก “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” ที่คนทั่วๆไปชอบเรียกติดปากกันว่า “ทวิ 50” (น่าจะย่อมาจาก “ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร”)  ซึ่งจะมีรายละเอียดเงินได้ตลอดทั้งปี และภาษีที่เราได้จ่ายไปบ้างแล้วบางส่วน ( การหักภาษี ณ ที่จ่าย )  ซึ่งการหักภาษี ณ ที่จ่ายนี้จะมีอัตราการหักที่แตกต่างกันออกไป  แต่ไม่ต้องไปสนใจนะครับ  เพราะในความเป็นจริงก็มีค่าเท่ากันครับ  หลายคนคงสงสัยว่ามีค่าเท่ากันยังไง  จะอธิบายสั้นๆง่ายๆนะครับ  ดังนี้  หลายคนคงเคยได้ยินคำว่าขอคืนภาษี (จะขออธิบายเรื่องการคืนภาษีในส่วนท้ายนะครับ)  ซึ่งการที่จะได้คืนภาษีนั้น  แสดงว่าเราได้เสียภาษีเกินจำนวนที่เราได้จ่ายไปแล้วจริง  เราจะสามารถขอคืนภาษีกลับมาได้  ส่วนบางคนต้องเสียภาษีเพิ่ม ( ในประเด็นนี้เข้าใจผิดกันหลายคน ) แสดงว่าในแต่ละเดือนมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่คลอบคลุมภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมดของปีนั้นนะครับ  ขอยกตัวอย่างสักหน่อยนะครับเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน

                Ex1 สมมติว่า  ผมโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายเดือนละ 100 บาท  รวมทั้งปีก็ 1,200 บาท  แต่พอรวมเงินได้ทั้งปีออกมาแล้วคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายจริงในปีนั้นๆ  จะต้องเสียภาษีทั้งหมด 2,000 บาท  เคสนี้เท่ากับว่าผมยังจ่ายไม่ครบ  ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 800 บาทครับ

                Ex2 สมมติว่า ผมโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายเดือนละ 200 บาท รวมทั้งปีก็ 2,400 บาท แต่พอรวมเงินได้ทั้งปีออกมาแล้ว คำนวณภาษีที่ต้องจ่ายจริงในปีนั้นๆ จะต้องเสียภาษีทั้งหมดเพียง 2,000 บาท เคสนี้เท่ากับว่าผมโดนภาษีหัก ณ ที่จ่าย มากกว่าจำนวนที่จะต้องจ่ายจริง  ซึ่งผมสามารถขอคืนภาษีกลับเข้ากระเป๋าผมคืนได้ จำนวน 400 บาทครับ

                เป็นยังไงบ้างครับพอจะเห็นภาพแล้วนะครับว่า  ทำไมถึงไม่ต้องไปสนใจการโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ (คิดไปก็เปลืองสมองเปล่านะครับ)   และสำหรับหลายคนที่เข้าใจผิดอยู่ ก็จะพอทราบแล้วนะครับว่าจำนวนภาษีที่จะต้องชำระจริงๆ แท้จริงแล้วเพื่อนๆจะต้องจ่ายกี่บาท

                จากเรื่องอัตราภาษี  ในตอนแรกจะอธิบายสั้นๆ แต่พอเอาเข้าจริงก็พอสมควรนะครับ 555+  คราวนี้หลายคนคงอยากทราบแล้วนะครับว่า  “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เขาคิดคำนวณกันอย่างไร”  ซึ่งอันนี้ก็ยังมีเพื่อนๆหลายคนที่เข้าใจผิดอยู่เช่นกัน  คนที่เข้าใจผิดส่วนใหญ่คิดว่าหากเรารายได้เท่าไหร่  ก็ให้เอาอัตราภาษีในช่วงนั้น  มาคำนวณกับฐานภาษีเราได้เลย   ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ครับ  เราจะต้องคำนวณภาษีในแต่ละช่วงเป็นสเต็ปๆไปครับ  เพื่อให้เห็นภาพขอยกตัวอย่างดังนี้นะครับ

                สมมติว่าผมมีเงินได้ตลอดทั้งปี ภายหลังหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน ( การหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน จะขออธิบายในหัวข้อถัดไปครับ)  โดยมีเงินได้สุทธิอยู่ที่ 700,000 บาท (อันนี้สมมตินะครับ จริงๆแล้วผมไม่ได้มีรายได้ขนาดนั้นนะครับ)  จะมีวิธีคำนวณภาษีในแต่ละสเต็ปดังนี้ครับ

เงินได้สุทธิ	ช่วงเงินได้สุทธิ แต่ละขั้น	อัตราภาษี ร้อยละ	ภาษีที่จะต้องชำระ
1 - 150,000	150,000	ได้รับยกเว้น	0
150,001 - 500,000	350,000	10	35,000
500,001 - 1,000,000	500,000	20	40,000
1,000,001 - 4,000,000	3,000,000	30
4,000,001 บาทขึ้นไป		37
รวมภาษีที่ต้องจ่าย			75,000

                ขออธิบายเพิ่มเติมนะครับ  ในการคำนวณภาษีนั้นจะต้องเริ่มคำนวณตั้งแต่เงินได้สุทธิ 1 – 150,000 บาท  ซึ่งในที่นี้จะได้รับการยกเว้นภาษี  ดังนั้นภาษีที่ต้องชำระในสเต็ปแรกนี้ จะเท่ากับ 0 บาท  ต่อมาเราก็จะเริ่มคำนวณในสเต็ปที่สอง  คือในช่วงเงินได้ 150,001 – 500,000 บาท  จะได้จากการนำเงินได้ในช่วงนี้(เท่านั้น) มาคิด  ซึ่งก็คือ 350,000 บาท  คูณด้วยอัตราภาษี 10%  จะได้ภาษีที่จะต้องชำระในช่วงนี้ จำนวน 35,000 บาท  ต่อมาเราก็ต้องคำนวณภาษีในสเต็ปที่สามต่อไปอีก (เนื่องจากว่าเรามีเงินได้ทั้งสิ้นจำนวน 700,000 บาท)  ซึ่งในช่วงต่อไปเราจะเหลือเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีในสเต็ปที่สามเพียง 200,000 บาท (เพราะเราได้คำนวณเงินได้ในสเต็ปที่หนึ่งและสองไปแล้วจำนวน 500,000 บาท)  ซึ่งวิธีคิดในสเต็ปที่สามนี้ เราจะต้องนำ 200,000 คูณด้วย 20% (อัตราภาษีในช่วง 500,000 – 1,000,000 บาท) จะได้ภาษีที่จะต้องชำระในช่วงนี้ จำนวน 40,000  จากนั้นเราก็นำภาษีเงินได้ในแต่ละช่วงมารวมกัน  ซึ่งในกรณีนี้จะเท่ากับ 75,000 บาท  หากเพื่อนๆมีเงินได้เกินกว่าจากนี้ก็ขอให้ค่อยๆคำนวณภาษีในแต่ละช่วง  แบบเดียวกับที่ผมได้อธิบายไปนะครับจนครบจำนวน

                พอมาถึงตรงนี้ก็ใกล้จะมาถึงจุดยอด (Climax) ของเรื่องแล้วนะครับ  ซึ่งก็คือเรื่องของการหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน  ซึ่งจะขอเน้นในเรื่องของการหักลดหย่อนเป็นหลักนะครับ  จากการที่เราเหล่ามนุษย์เงินเดือนจะต้องมีหน้าที่  จ่ายเงินภาษีเพื่อชาติและบ้านเมืองแล้วนั้น  บางคนก็ต้องจ่ายภาษีดังกล่าวหลายกะตังอยู่  แล้วเราพอจะมีวิธีการไหนบ้างมาลดหย่อน  ซึ่งผมจะขอพูดแบบง่ายๆล่ะกันนะครับ

การหักค่าใช้จ่าย     ขอพูดถึงเฉพาะผู้ที่มีเงินได้จากการจ้างงานปกตินะครับ  ซึ่งเพื่อนๆจะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้คนละ 60,000 บาท  ( ถ้าเป็นตามวิชาการเขาจะบอกว่า  หักได้ 40% ของเงินได้  แต่ไม่เกิน 60,000 บาท )  ขอยกการหักค่าใช้จ่ายเพียงตัวนี้ตัวเดียวนะครับ  ถ้าเอาตัวอื่นด้วย  เดี๋ยวจะงงทั้งคนเขียนและคนอ่าน 555+

การหักลดหย่อน  การหักลดหย่อนนั้น  พูดง่ายๆก็คือ เป็นช่องทางที่ผู้เสียภาษีจะสามารถลดจำนวนภาษีที่จะต้องจ่ายจริง ให้ลดน้อยลงครับ  ซึ่งในเรื่องของการหักลดหย่อนนี้ผมจะขอกลาวถึงหัวข้อหลักๆนะครับ  เริ่มต้นกันเลยนะครับ

1.)      ลดหย่อนตนเอง  :  อันนี้หักลดหย่อนได้  30,000 บาท  (เท่ากันทุกคนนะครับ เป็นสิทธิติดตัวไม่เอาก็ไม่ได้ด้วย)

2.)      ลดหย่อนสามีหรือภรรยา (ที่อยู่บ้านเฉยๆและไม่มีเงินได้)  : กลัวไม่เข้าใจครับเลยบอกว่า สามีหรือภรรยา ที่อยู่บ้านเฉยๆ  ก็ประมาณว่าถ้าหากสามี ทำงานยื่นแบบประเมินภาษี จะสามารถนำสิทธิลดหย่อนในส่วนของภรรยามาลดหย่อนได้  จำนวน 30,000 บาท  แต่มีเงื่อนไขว่า ภรรยา จะต้องไม่มีเงินได้ และไม่ได้ยื่นแบบประเมินภาษีนี้

3.)      ลดหย่อนบุตร  มีข้อแม้ว่าบุตรจะต้องอายุไม่เกิน 25 ปี และยังไม่จบ ปริญญาตรี  สามารถนำบุตรมาหักลดหย่อนได้ คนละ 15,000 บาท รวมกันไม่เกิน 3 คน (สำหรับบุตรที่เข้าเรียนแล้ว แต่ยังไม่จบปริญญาตรีในประเทศไทย หักได้เพิ่มเติมอีกคนละ 2,000 บาท)

4.)      เบี้ยประกันภัย  มีเงื่อนไขว่าอายุกรมธรรม์ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปนะครับ  โดยจะหักได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท  โดยจะนำเฉพาะค่าเบี้ยประกันภัยที่เพื่อนๆจ่ายไปภายในปีนะครับ  หากเป็นกรมธรรม์ที่จ่ายแบบครั้งเดียวก็หักได้เพียงปีแรกนะครับ  ทางที่ดีหากจะซื้อประกันเพื่อลดหย่อนควรจะซื้อแบบออมทรัพย์นะครับ  เพราะว่านอกจากจะได้ลดหย่อนในส่วนนี้แล้ว  ยังได้ผลตอบแทนในระยะยาวอีกด้วย

5.)      เงินสะสม  จะขอแยกเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก่อนนะครับ อันนี้หักลดหย่อนได้ตามจริงครับ  แต่ไม่เกิน 10,000 บาท (แต่ส่วนที่เกิน 10,001 – 500,000 บาท ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมาคิดภาษี) ต่อมาเป็นคิวของ  กองทุนรวม ( LTF และ RMF ) อันนี้สามารถซื้อได้สูงสุด 15% ของเงินได้สุทธิ  แต่มีเงื่อนไขว่า พอนำไปรวมกับ เงินสะสมสำรองเลี้ยงชีพ และ กองทุน กบข. (ถ้ามี) จะต้องไม่เกิน  500,000 บาท

         เงื่อนไขการซื้อ  LTF  ผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุน  จะต้องถืออย่างน้อย 5 ปีถึงจะขายคืนได้ครับ  แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อติดต่อกันทุกปี  เพียงแต่ว่าปีไหนไม่ได้ซื้อก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้ครับ

         เงื่อนไขการซื้อ  RMF อันนี้จะค่อนข้างต้องใช้เวลาในการรอคอยมากครับ  หากผู้ซื้อยังอายุน้อยครับ  คือว่าผู้ซื้อหน่วยลงทุนประเภทนี้จะต้องรอจนกว่าอายุ 55 ปี ถึงจะขายคืนได้ครับ  และนอกจากนี้ผู้ซื้อจะต้องซื้อ 5 ปีติดต่อกัน  แต่อนุโลมให้ซื้อปีเว้นปี จนครบ 5 ครั้งได้

หมายเหตุ     ถ้าไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว  เพื่อนๆจะต้องนำเงินที่ได้รับจากการลดหย่อนภาษีไปคืนสรรพากร พร้อมทั้งค่าปรับครับ   แต่ถ้าใครที่ซื้อขายเฉยๆ ไม่ได้เอาไปลดหย่อยภาษีก็สามารถซื้อได้  โดยที่ไม่ต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวนี้นะครับ

6.)      ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม (ที่อยู่อาศัย)  ผู้ที่จะใช้สิทธิ์ลดหย่อนอันนี้ควรจะไปขอหนังสือรับรองดอกเบี้ยจากธนาคารก่อนที่จะไปยื่นนะครับ  เพื่อที่จะได้จำนวนดอกเบี้ยที่แน่นอนครับ  และจะได้มีเอกสารยืนยันต่อกรมสรรพากร

7.)      เงินสมทบประกันสังคม  อันนี้ก็ตามจริงเลยครับ  ( เต็มที่แล้วก็ได้เพียง 9,000 บาท นะครับ คงไม่มีใครได้เยอะกว่านี้หรอกครับ 555+)

8.)      บิดา - มารดา  โดยมีเงื่อนไขว่า บิดา – มารดา  ที่จะนำมาลดหย่อนได้นั้นจะต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป  และจะต้องไม่มีเงินได้นะครับ  สามารถลดหย่อนได้ คนละ 30,000 บาท

จากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  ถึงการหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนในช่องทางต่างๆ  ทีนี้ให้เพื่อนๆลองหยิบกระดาษขึ้นมาเล่นๆสัก 1 แผ่น  แล้วลองเอารายได้ตลอดทั้งปี(เป็นตัวตั้ง) จากนั้นให้นำ 60,000 (หักค่าใช้จ่าย) มาลบออก  จากนั้นให้นำตัวลดหย่อนต่างๆมาหัก    แล้วตัวเลขที่เหลือก็คือ ฐานภาษีสุทธิ (ตัวเลขที่จะนำมาคิดภาษีนั่นเอง)  พอจะเห็นภาพคร่าวๆกันแล้วนะครับ  ว่าตัวเลขที่จะนำมาคิดภาษีคือตัวไหน

ผมจะขอยกตัวอย่างสัก 1 เคส เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นนะครับ  สมมติผมมีรายได้เดือนละ 50,000 บาท  โดยที่แต่ละเดือนโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายเดือนละ 5,000 บาท (ไม่ต้องถามต่อนะครับว่าหักกี่เปอร์เซ็นต์ 555+)   สมมติต่อนะครับว่าผมมีบุตร 1 คน  และผมได้ซื้อประกันชีวิตจ่ายเบี้ยปีละ 25,000 บาท  อีกทั้งจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 1,500 บาทต่อเดือน  จ่ายประกันสังคมเดือนละ 750 บาท   และได้รับหนังสือรับรองยอดดอกเบี้ยบ้าน  เป็นจำนวน 70,000 บาทต่อปี  ซึ่งในระหว่างปีนี้ผมได้ทยอยซื้อหน่วยลงทุนรวมทั้งสิ้น 24,000 บาท   มาถึงตรงนี้ผมก็ได้สมมติจนหนื่อยแล้วครับ  งั้นมาลองหยอดกันเลยครับ

การคำนวณภาษีเงินได้	หน่วย  :  บาท
เงินได้ทั้งปี	600,000
หักค่าใช้จ่าย	-60,000
หักลดหย่อนต่างๆ
- ตนเอง	-30,000
- สามี หรือภรรยา	0
- บุตร	15,000
- เบี้ยประกันภัย	-25,000
- สำรองเลี้ยงชีพ ( ส่วนที่เกิน 10,000 บาทได้รับการยกเว้น เลยขอนำมาใส่เพื่อให้ง่ายในการคิด)	-18,000
- ดอกเบี้ย	-70,000
- ประกันสังคม	-9,000
- บิดามารดา	-60,000
- LTF	-24,000
เงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อน	319,000
คำนวณภาษี (ตามช่วง)
1 - 150,000 บาท(เหลือทีจะต้องไปคำนวณภาษีอีก 169,000)	ยกเว้น
150,001 - 500,000 บาท (10% จากจำนวน 169,000)	16,900
ภาษีที่โดนหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว	60,000
ภาษีที่จะได้รับคืน	43,100

จากตารางข้างต้น  จะขอเน้นเฉพาะในส่วนช่องที่ได้ตัวเลขที่ต้องจ่ายภาษี จำนวน 16,900 บาท  ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราต้องเสียภาษีจริงๆในปีนั้นนะครับ  แต่กรณีนี้ผมโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายรวมทั้งปีเป็นจำนวน 60,000 บาท  ซึ่งเท่ากับว่าผมโดนหักมากกว่าเงินภาษีที่ผมต้องจ่ายจริง  ดังนั้นผมสามารถขอคืนภาษีกลับเข้ากระเป๋าผมได้ จำนวน 43,100 บาท ( 60,000 – 16,900 = 43,100 บาท)  แต่ในทางกลับกันถ้าสมมติต่อว่าผมโดนหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งปีเพียง 10,000 บาท  แสดงว่าผมยังจ่ายภาษีไม่ครบ  ซึ่งทำให้ผมต้องจ่ายเพิ่มอีกจำนวน 6,900 บาท  แต่ถึงยังไงก็มีค่าเท่ากันถูกมั๊ยครับเพื่อนๆ

สุดท้ายนี้ก็ขอให้เพื่อนๆได้ลองคิดคำนวณภาษีในแต่ละปีดูนะครับ  เพื่อที่จะได้สามารถวางแผนเพื่อประหยัดเงินกันได้  ไม่มากก็น้อยครับ  ส่วนในเรื่องถัดไปผมจะขอโฟกัสเข้าไปในเรื่องของ “กองทุน” ซึ่งในครั้งหน้าผมจะเล่าถึงวิธีการซื้อ  การเลือกกองทุน  และจะแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง  ยิ่งไปกว่านั้นผมจะเปิดตัวอาจารย์ผมนะครับ  อย่าลืมติดตามรับชมกันนะครับ  ขอบคุณครับ   By Special_Pong

หมายเหตุ  ในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณภรรยาสุดสวยของผมที่ช่วยกรองเนื้อหา เพื่อลดความผิดพลาดก่อนแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกันด้วยนะครับ