วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

คัมภีร์ Kung Fu House จัดทัพ อัพชีพจร

                                                            คัมภีร์ชูกำลัง
        Kung Fu House
                                                   (ฉบับจัดทัพ อัพชีพจร)

                                ในการท่องยุทธภพ สำหรับเจ้าสำนักหน้าใหม่คงมีสิ่งแปลกใหม่ และอุปสรรคต่างๆมากมาย  อีกทั้งยังคงมีคำถามในใจที่ยังหาคำตอบไม่ได้  แต่เชื่อได้ว่าเจ้าสำนักหน้าใหม่ทุกท่านคงอยากจะได้คำตอบที่เป็นความจริง  และเป็นแนวทางที่เป็นมาตรฐานของยุทธภพ  ดังนั้นคัมภีร์ฉบับ “จัดทัพ ชูกำลัง” จะไขความลับสวรรค์เหล่านั้นให้  ตามมาดูกัน
ไขความลับค่า Status

HP  :  อันนี้คงรู้กันทุกคนคือ  การเพิ่มค่าพลังของศิษย์  ยิ่งอัพมากเลือดก็ยิ่งมาก  ซึ่งสิ่งที่บอกว่าศิษย์ตัวไหนเน้น HP บ้างคงต้องไปดูที่ข้อมูลศิษย์  จะมีตัวอักษรใต้เลเวลสีแดงอ่อนเขียนว่า  “กาย”  เช่น ศิษย์ไคว่หัวหวัง  จะเขียนว่า “ฝึกวรยุทธกาย” หมายถึง ศิษย์คนนี้เด่นทางด้าน  กำลัง  และ HP เป็นต้น

กำลัง  ความแรงในการโจมตีของศิษย์  ซึ่งมีผลทั้งการโจมตีแบบธรรมดา และแบบวิชา  จึงสรุปได้ว่าถ้ากำลังของศิษย์ตัวไหนมาก  ก็ย่อมโจมตีได้รุนแรง ทั้งแบบธรรมดา และแบบวิชา  คำบอกไบ้สีแดงอ่อนจะเขียนว่า “วรยุทธ” หรือ “ฝีมือเลิศล้ำ”  เช่น มู่หยงฟู่ จะเขียนว่า “ท่าร่างวรยุทธ” หมายถึงเด่นทางด้าน ท่าร่าง กับ กำลัง   ส่วนอีกหนึ่งตัวอย่างคือ อาเฟย จะเขียนว่า “ฝีมือเลิศล้ำ” เด่นทางด้านกำลัง เป็นต้น





กำลังภายใน  หากศิษย์ตัวไหนมีค่ากำลังภายในสูง  โอกาสในการสลายพลัง จากวิชาของศัตรูก็จะมีมาก(ซึ่งสามารถลดโอกาสความเสียหายลงได้)  และในทางตรงกันข้ามหากศิษย์ตัวใดมีกำลังภายในสูง ก็จะสามารถปล่อยวิชาได้รุนแรงมากขึ้นได้ หากวิชานั้นเน้นกำลังภายใน  คำบอกไบ้สีแดงอ่อน จะเขียนว่า “ฝึกกำลังภายใน” ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์จิวหมอจื้อ  จะเขียนว่า “พลังภายในหนักแน่น” ซึ่งแสดงว่าจะเด่นทางด้านกำลังภายใน 


                                               
ท่าร่าง  : อันนี้หลายคนคิดว่าเป็นการหลบ  แต่จริงๆแล้วท่าร่างคือความเร็วในการโจมตี  หากศิษย์ใดมีค่าท่าร่างสูงสุดในการต่อสู้  จะทำให้โจมตีก่อนศิษย์คนอื่นๆ  และนอกจากนี้หากหัวหน้าค่าย(ตัวหน้าสุด) มีค่าท่าร่างสูงๆ ก็จะมีผลทำให้โอกาสในการสวนกลับบ่อยขึ้น  และนอกจากนี้ก็จะมีผลกับความรุนแรง ในวิชาที่ต้องใช้ท่าร่างเป็นส่วนประกอบในการปล่อยด้วย  คำบอกไบ้สีแดงอ่อน จะเขียนว่า “ท่าร่าง” หรือ “วิชาตัวเบาเหมือนลม”  ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์อุ้ยเสี่ยวป้อ  จะเขียนว่า “ฝึกท่าร่างกาย” ซึ่งแสดงว่าจะเด่นทางด้านท่าร่างและเลือด  ส่วนอีกหนึ่งตัวอย่าง  เช่นชอลิ้วเฮียง จะเขียนว่า “วิชาตัวเบาเหมือนลม”  แสดงว่าเด่นเฉพาะท่าร่างเพียงอย่างเดียว เป็นต้น





ป้องกัน  อันนี้ก็ตรงความหมายคือค่าป้องกัน  หากศิษย์ใดมีค่าป้องกันมาก  ก็จะลดโอกาสความเสียหายจากการโจมตีแบบธรรมดา และแบบวิชา  คำบอกใบ้สีแดงอ่อน จะเขียนว่า “ป้องกัน” หรือ “ป้องกันดั่งเหล็ก”  ยกตัวอย่าง  คือ กีเบียงหยัง จะเขียนว่า “วรยุทธป้องกัน”  และเซียวฮื้อยี้  ที่เขียนว่า “ป้องกันดั่งเหล็ก”





แม่น  อันนี้ความหมายก็คือความแม่นยำในการโจมตีแบบธรรมดา  หากศิษย์ใดมีค่าความแม่นสูง  ก็จะสามารถโจมตีศัตรูได้ถึงตัว  แต่หากศิษย์ใดมีค่าความแม่นต่ำก็อาจจะทำให้ศัตรูหลบได้เช่นกัน  ศิษย์ที่เด่นทางด้านแม่นยำคือ “ลี้คิมฮวง” ที่มีค่าความแม่นเริ่มต้นที่ 100  (เพราะเขาคือร้อยลี้ไม่พลาดเป้า)


 หลบ :  อันนี้จะตรงข้ามกับแม่น  เพราะว่าหากศิษย์ใดมีค่าหลบสูงโอกาสที่จะหลบการโจมตีธรรมของศัตรูก็จะมีมากเช่นกัน  แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับศัตรูด้วย  เพราะหากศัตรูมีค่าความแม่นที่สูงมาก ต่อให้เรามีค่าหลบที่สูง  ก็อาจจะโดนโจมตีได้ถึงตัว  ศิษย์ที่เด่นทางด้านการหลบ  คือ เอี๊ยบไค  ที่มีค่าหลบเบื้องต้นที่ 100 ( แบบว่าอาจารย์ลี้คิมฮวงแม่น 100 ลูกศิษย์ก็เลยแก้ทางเป็นหลบ 100  อันนี้คิดเอาเองนะ 555+)



คริติคอล  หากคริติคอลมีค่าสูง  โอกาสที่ศิษย์จะโจมตีแบบธรรมดา และโจมตีแบบวิชา ติดคริติคอลสูง  แต่ไม่ได้เกี่ยวกับความรุนแรง  มีผลแค่เรื่องของการติดคริติคอลบ่อยเท่านั้น

ต้านคริติคอล หากศิษย์ใดมีค่าต้านคริติคอลสูง  ก็จะลดโอกาสถูกโจมตีที่ติดคริติคอล ทั้งแบบโจมตีธรรมดา และแบบโจมตีวิชา  สรุปง่ายๆคือ ค่าต้านคริติคอลสูง โอกาสที่จะโดนตีติดคริติคอลก็ต่ำ

สมาธิ : อันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไร หลายคนคงคิดถึงเรื่องการนั่งสมาธิอันนี้ไม่เกี่ยวนะครับ  ค่าสมาธินี้จะสอดคล้องกับ คริติคอล  หมายความว่า หากศิษย์มีค่าสมาธิสูง ก็จะทำให้การโจมตีที่ติดคริติคอล ได้รุนแรงขึ้น  สมมติว่า  เฉียวฟง  โจมตีธรรมดา  ค่าเสียหาย 200  แต่ถ้าติดคริติคอล จะเพิ่มเป็น 300 (อันนี้สมมติว่าสมาธิยังต่ำๆ)  แต่ต่อมาเพิ่มสมาธิเข้าไปสูงขึ้น  การโจมตีที่ติดคริติคอลจะเพิ่มเป็น 500  อันนี้เป็นการสมมติเพื่อให้เห็นภาพนะครับ  จริงๆแล้วค่าความรุนแรงนั้นก็ต้องอาศัย กำลัง ควบคู่กันไปด้วย

ชีพจร

                ศิษย์แต่ละคนจะมีชีพจร  เพื่อเสริมคุณสมบัติทางด้านต่างๆ ซึ่งจะประกอบไปด้วยทั้งหมด 8 จุด  ซึ่งแต่ละจุดนั้นต้องอาศัยรีเวลในการเปิดชีพจร  ซึ่งชีพจรจะเปิดจุดใหม่ๆทุก 15 เวล  และจะครบทุกจุดที่เวล 120  อีกทั้งชีพจรที่ปรากฏนั้นจะเกิดขึ้นแบบสุ่ม   นอกจากนี้ชีพจรก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ เปี้ย(สีเขียว)  อิก(สีฟ้า)  กะ(สีม่วง)  ดังนั้นหากใครที่ดวงดี  เวลาเวลถึงก็ได้ชีพจรระดับ กะ หรือ อิก ติดตัวมาเลย  แต่หากใครดวงบอด ก็ได้ชีพจรระดับ เปี้ย มาทั้งหมด  แต่หากใครดวงบอดก็อย่าพึ่งหมดกำลังใจ  เพราะสามารถใช้ “น้ำยาล้างกระดูก” เปลี่ยนชีพจรให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้  ในส่วนของการเปลี่ยนชีพจรนั้น  ไม่มีอะไรแนะนำเป็นวิทยาศาสตร์นะครับ  ต้องใช้ใจ(ใจต้องถึง) และดวง(ดวงต้องเฮง) ล้วนๆครับ



การอัพชีพจรศิษย์
สำหรับศิษย์ตัวหน้า  ควรจะต้องเปลี่ยนชีพจรให้ได้ หลบระดับอิกขึ้นไป อย่างน้อย 1 อัน  ส่วนนอกนั้นควรเน้นชีพจรป้องกัน  ,  ต้านคริติคอล  , เลือด

สำหรับศิษย์แนวหลังที่เน้นใช้วิชาที่รุนแรง โจมตีเป็นกลุ่ม หรือทั้งหมด  ควรเน้นชีพจรที่เป็นคริติคอล  ,  สมาธิ  ,  แม่น  เอาไว้เยอะๆ  ส่วนชีพจรที่เป็น กำลัง , กำลังภายใน , ท่าร่าง  ก็สามารถใช้ได้แต่ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของศิษย์แต่ละคน

ส่วนศิษย์ในแดนกลางนั้น  ไม่มีอะไรเป็นมาตรฐานนะครับ  ให้ขึ้นอยู่กับกลยุทธของเจ้าสำนักแต่ละคนว่า  จะให้ศิษย์แต่ละตัวทำหน้าที่แบบไหน  เช่นบางสำนักเน้นบุก  ก็ให้อัพตามศิษย์แนวหลังได้เลย  ,  บางสำนักเน้นป้องกันอีกชั้น  ก็ให้อัพเหมือนศิษย์ตัวหน้า  ,  แต่หากไม่มีอะไรแน่ชัดก็ให้อัพ  แยกเป็นตัวๆไปครับ  ตามความถนัดของศิษย์แต่ละบุคคล
  
ค่ายกล


เจ้าสำนักหน้าใหม่หลายท่านคง  มีข้อสงสัยเกี่ยวกับค่ายกลว่า  ค่ายไหนดี  Dtac หรือ True Move เอ้าอันนี้ไม่ใช่  จริงๆแล้วค่ายกลแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ  กะ(สีม่วง)  อิก(สีฟ้า)  เบี้ย(สีเขียว) ซึ่งค่ายกลจะสามารถอัพเกรดได้จนถึงเวล 6 (Max) และนอกจากนี้ค่ายกลแต่ละค่ายก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน  แต่หลักๆในช่วงเริ่มต้นนั้นไม่ต้องซีเรียสเรื่องค่ายกลมากนักเพราะการฝ่าด่านต่างๆยังไม่ยากเย็นอะไร    จากประสบการณ์ในการท่องยุทธจักรที่ผ่านมา  ค่ายกลที่ใช้แล้วดีที่สุดทั้งทางด้านป้องกันและโจมตี  จะต้องมีคุณสมบัติ  ส่วนหน้าเน้น ป้องกัน  ---  ส่วนกลางเน้น กำลัง(หรือกำลังภายใน) --- ส่วนหลังเน้นกำลัง  โดยส่วนตัวค่ายกลที่ควรลงทุนในการตีบวกให้ถึงระดับ 6 นั้น คงจะเป็นค่ายกลใดไม่ได้  นอกเสียจาก “ค่ายกล 5 ธาตุ” [สามารถใช้หยวนเซิ่น (คือดวงไฟสีฟ้า ที่มีให้กดรับที่ลานประลองทุกวัน) และซื้อได้ที่ตำนานไร้พ่าย]



แต่หากเจ้าสำนักท่านใดได้ค่ายกลระดับกะขึ้นไป  ก็คงต้องพิจารณาถึงกลยุทธ์ในการวางแผนการต่อสู้กันอีกที  เนื่องจากค่ายกลระดับกะหลายๆค่ายก็มีคุณสมบัติที่ไม่น่าใช้  แต่ถ้าจะยกค่ายกลอันดับ 1 คงจะต้องเป็น ค่ายกล “ไม้เท้าตีสุนัข” ที่เน้น  ส่วนหน้าเน้น ป้องกัน  ---  ส่วนกลางเน้น กำลัง --- ส่วนหลังเน้นกำลัง 

การวางตำแหน่งศิษย์ที่ดี

                ส่วนหน้าค่าย  ควรจะวางศิษย์ที่มีค่าป้องกัน  และเลือดสูงๆ  และควรจะฝึกฝนศิษย์หัวหน้าค่ายให้มีค่าการหลบ  ,  ต้านคริติคอล ไว้สูงๆด้วย จะทำให้ไม่ตายง่ายๆ  อีกทั้งต้องให้ใส่ชุด หมวก และของที่ช่วยเพิ่มเลือด หรือป้องกันไว้เยอะๆให้แก่ศิษย์ตัวหน้าด้วย

                ส่วนกลางค่าย : ควรวางศิษย์ที่มีเลือดระดับกลางๆไว้  อีกทั้งควรจะเป็นศิษย์ที่มีการโจมตีธรรมดา หรือโจมตีด้วยวิชาที่รุนแรงพอสมควรเอาไว้ด้วย  ส่วนการฝึกฝนต้องแล้วแต่ทักษะศิษย์แต่ละตัว  นอกจากนี้ควรจะต้องมีชุดป้องกันและเครื่องประดับที่มีคุณสมบัติเพิ่มเลือดรวมอยู่ด้วย  เพื่อป้องกันเรื่องของโดนวิชาจำพวก “ยิงกระเด็น”

                ส่วนหางค่าย : ควรวางศิษย์ที่โจมตีทั้งแบบธรรมดาหรือแบบวิชาที่รุนแรงที่สุดของสำนักไว้  โดยเฉพาะตำแหน่งหางค่ายบน(มู่หยงฟู่) และล่าง(เต็งชุนชิว)  ส่วนตำแหน่งตรงกลางนั้นควรจะหลีกเลี่ยงเพราะว่าอาจจะโดนวิชาประเภททะลวงได้ง่ายๆ  การฝึกฝนศิษย์ในส่วนนี้ควรเน้น คริติคอล และสมาธิเป็นหลัก  ของที่ควรใส่ให้กับศิษย์ในส่วนห่างค่ายนั้นควรเน้นพวกสร้างคริติคอล , สมาธิ รวมไปจนถึงของที่ช่วยเพิ่มกำลัง เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีให้กับศิษย์ที่เอาไว้เป็นอาวุธเด็ดในการต่อสู้

วิชายุทธ
วิชายุทธแบ่งออกเป็น 3 ประเภท  คือ 1.) วรยุทธ   2.) กำลังภายใน   3.) วิชาตัวเบา  ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1.)    วรยุทธ : จะเน้นการใช้ กำลัง ในการปล่อยท่า  ดังนั้นศิษย์ที่จะมาใช้วิชาสายนี้ จะต้องมีกำลังที่ค่อนข้างสูง ถึงจะเหมาะสม  ยกตัวอย่างเช่น  วิชาเก้ากระบี่เดียวดาย  จะประกอบไปด้วยการใช้  กำลัง 7 ส่วน  กำลังภายใน 3 ส่วน ในการปล่อยท่า  ดังนั้นจะเห็นได้ว่ากำลังจะมีสัดส่วนเยอะกว่ากำลังภายใน  จึงเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักจำเป็นที่จะต้องหาศิษย์ที่มี “กำลัง” มากๆมาใช้วิชานี้



2.)    กำลังภายใน จะเน้นการใช้ กำลังภายใน  ในการปล่อยท่า  ดังนั้นศิษย์ที่จะมาใช้วิชาสายนี้ จะต้องมีกำลังภายในที่ค่อนข้างสูง ถึงจะเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น วิชาราชสีห์คำราม  จะประกอบไปด้วยการใช้กำลังภายใน 10 ส่วน(ทั้งหมด)ในการปล่อยท่า  ดังนั้นหากนำศิษย์ที่มี ”กำลังภายใน” มากๆมาใช้วิชานี้ ก็จะทำให้เกิดความรุนแรงได้มากขึ้น



3.)    วิชาตัวเบา : จะเน้นการใช้ ท่าร่าง  ในการปล่อยท่า  ดังนั้นศิษย์ที่จะมาใช้วิชาสายนี้ จะต้องมีท่าร่างที่ค่อนข้างสูง ถึงจะเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น พลังกวดจันทราเด็ดดาว  จะประกอบไปด้วยการใช้ท่าร่าง 10 ส่วน(ทั้งหมด)ในการปล่อยท่า  ดังนั้นหากนำศิษย์ที่มี ”ท่าร่าง” มากๆมาใช้วิชานี้ ก็จะทำให้เกิดความรุนแรงได้มากขึ้น



วิธีคิดความรุนแรงการโจมตีด้วยวิชา  จะขอยกตัวอย่างวิชามีดบินลี้น้อย ที่ติดตั้งในศิษย์อุ้ยเสี่ยวป้อ ที่มีกำลัง 1,379  กำลังภายใน 1,026 ท่าร่าง 1,695 โดยที่วิชา ณ ตอนติดตั้งนี้เป็นวิชาบุกเดี่ยว ความแรง 371  ดังนี้



                วิชามีดบินลี้น้อย  ประกอบไปด้วยการใช้ท่าร่าง  7  ส่วน  และ  กำลังภายใน  3  ส่วนในการปล่อยวิชา  ดังนั้นจะได้การคำนวณความรุนแรง ดังนี้   ( 1,695 x 7)  +  (1,026 x 3 ) x 371/100  จะเท่ากับ  5,544  แล้วหลังจากนั้นให้นำกำลัง คือ 1,379 มาบวกเพิ่มอีกครั้ง  สรุปจะได้ความรุนแรงจากวิชามีดบินลี้น้อยจากอุ้ยเสี่ยวป้อ  เท่ากับ 5,544 + 1,379 = 6,923

การโจมตีด้วยวิชา  จะแบ่งการโจมตีออกแบบ 5 ลักษณะ คือ
1.)    บุกเดี่ยว  เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูเพียง 1 เป้าหมาย  ความรุนแรงที่ได้รับ 100%


2.)    กวาดล้าง : เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูเป็นแถวแนวดิ่ง ความรุนแรงที่ศัตรูตัวแรกได้รับ 100%  ส่วนศัตรูที่อยู่ในแนวเดียวกันตัวอื่นจะได้รับความรุนแรงเพียง 50%


3.)    ทะลวง : เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูเป็นเส้นตรงแนวนอน  ศัตรูตัวแรกจะได้รับความรุนแรง 100% ส่วนศัตรูตัวหลังจะได้รับความรุนแรงเพียง 50% (ภาพนี้ต้องขออภัยสำนักชูกำลัง2 ไม่มีท่าทะลวง)


4.)    ยิงกระเด็น : เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูเป็นกลุ่ม ศัตรูตัวแรกจะได้รับความรุนแรง 100% ส่วนศัตรูที่อยู่ข้างเคียงจะได้รับความเสียหายเพียง 32%


5.)    ทั้งหมด : เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูทุกตัว ศัตรูตัวแรกจะได้รับความรุนแรง 100% ส่วนศัตรูคนอื่นๆจะได้รับความเสียหายเพียง 32%



( ขอบคุณข้อมูลจาก bbs.siamgame.in.th ) ( ภาพตัวอย่างต้องขอขอบคุณสำนักชูกำลัง2 , สำนักเทพสุดตีน และสำนักทะลวงไข่ซีกซ้าย ในเซิรฟเทพกระบี่ด้วยครับ)


ความลับสวรรค์ในการตีบวกค่ายกลและวิชา



1.)    ในระดับการตีบวกเวล 1 2 ควรใช้ค่ายกล หรือวิชาระดับเปี้ย(สีเขียว) ในการตีบวกพอครับ  ทั้งนี้เพื่อประหยัดทรัพยากร  อีกทั้งโอกาสในการอัพเกรดสำหรับ  สำหรับเวล 1-2 นั้นยังมีโอกาสสำเร็จสูงอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรที่สูงกว่านี้

2.)    ในระดับการตีบวกเวล 3 4 ควรใช้ค่ายกล หรือวิชาระดับอิก(สีฟ้า) ขึ้นไปในการตี เพราะในระดับการตีเวล 3 4 นั้นโอกาสการอัพเกรดสำเร็จนั้นจะเริ่มลดลงแล้ว  จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรที่สูงขึ้น เพื่อให้โอกาสความสำเร็จเพิ่มสูงขึ้น  ในส่วนนี้ควรใส่ให้ครบ 5 ช่องไปเลยครับ (เพราะโอกาสอัพเกรดสำเร็จยังมีอยู่สูงพอสมควร

3.)    ในระดับการตีบวกเวล 5 6 ควรใช้ค่ายกล หรือวิชาระดับอิก(สีฟ้า) เช่นกัน แต่โอกาสที่จะอัพเกรดจะสำเร็จนั้นจะต่ำมาก  แบบว่าใส่ไปเต็ม 5 ช่องโอกาสสำเร็จเพียง 20-  30% เท่านั้น  จากประสบการณ์อัพเกรดในช่วงเวล 5 6 นี้ ผมขอแนะนำว่าใส่ทรัพยากรไปเพียง 3-4 ชิ้นก็พอครับ  ให้โอกาสความสำเร็จขึ้นเพียง 13 18 % ก็พอแล้ว  เพราะเนื่องจากว่าโอกาสการอัพเกรดสำเร็จนั้นต่ำมาก  ตามหลักทางคณิตศาสตร์แล้ว แทบจะเป็นไปได้ยากมาก  แต่ก็อย่างที่คุณครูสอนกันมาว่า  “ไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งนั้น”  สรุปนะครับ ต้องอาศัย “ดวง” ในการตีครับสำหรับขั้น 5 6

4.)    ควรจะสะสมค่ายกล หรือวิชา สต็อกไว้ประมาณ 50 ชิ้นสำหรับการอัพเกรดค่ายกลหรือวิชาที่เริ่มต้นจากระดับ 1  ยกตัวอย่างนะครับ  ผมวางแผนว่า  อีก 1 อาทิตย์ผมจะแลกค่ายกลในตำนานไร้พ่ายมาใช้  ในระหว่างนั้นผมก็ได้สะสมค่ายกลทั้งระดับเปี้ย และระดับอิกไว้ก่อนเลยครับ  ผมเตรียมเอาไว้ประมาณ 52 ชิ้น  หลังจากนั้นผมก็แลกค่ายกล  พอหลังจากได้มาไม่รอช้าครับ  ทำตามสเต็ป 1 3 ที่ว่ามารวดเดียวเวล 6 ครับ (จากประสบการณ์จริง)


นี่เป็นเพียงอีก 1 คัมภีร์ที่เจ้าสำนักหน้าใหม่ๆทุกคนจะต้องทราบ  ทั้งนี้ในคัมภีร์เล่มต่อไป  จะเป็นการเดินทางเพื่อไปสู่เป้าหมายในการท่องยุทธจักร   คัมภีร์เล่มต่อไปมีชื่อว่า “คัมภีร์ วางหมากปราบปรมาจารย์”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น