คัมภีร์ชูกำลัง
Kung Fu House
(ฉบับจัดทัพ อัพชีพจร)
ในการท่องยุทธภพ
สำหรับเจ้าสำนักหน้าใหม่คงมีสิ่งแปลกใหม่ และอุปสรรคต่างๆมากมาย
อีกทั้งยังคงมีคำถามในใจที่ยังหาคำตอบไม่ได้
แต่เชื่อได้ว่าเจ้าสำนักหน้าใหม่ทุกท่านคงอยากจะได้คำตอบที่เป็นความจริง และเป็นแนวทางที่เป็นมาตรฐานของยุทธภพ ดังนั้นคัมภีร์ฉบับ “จัดทัพ ชูกำลัง”
จะไขความลับสวรรค์เหล่านั้นให้ ตามมาดูกัน
ไขความลับค่า Status
HP
: อันนี้คงรู้กันทุกคนคือ การเพิ่มค่าพลังของศิษย์ ยิ่งอัพมากเลือดก็ยิ่งมาก ซึ่งสิ่งที่บอกว่าศิษย์ตัวไหนเน้น HP บ้างคงต้องไปดูที่ข้อมูลศิษย์
จะมีตัวอักษรใต้เลเวลสีแดงอ่อนเขียนว่า
“กาย” เช่น ศิษย์ไคว่หัวหวัง จะเขียนว่า “ฝึกวรยุทธกาย” หมายถึง
ศิษย์คนนี้เด่นทางด้าน กำลัง และ HP เป็นต้น
กำลัง :
ความแรงในการโจมตีของศิษย์
ซึ่งมีผลทั้งการโจมตีแบบธรรมดา และแบบวิชา
จึงสรุปได้ว่าถ้ากำลังของศิษย์ตัวไหนมาก
ก็ย่อมโจมตีได้รุนแรง ทั้งแบบธรรมดา และแบบวิชา คำบอกไบ้สีแดงอ่อนจะเขียนว่า
“วรยุทธ” หรือ “ฝีมือเลิศล้ำ” เช่น
มู่หยงฟู่ จะเขียนว่า “ท่าร่างวรยุทธ” หมายถึงเด่นทางด้าน ท่าร่าง กับ กำลัง ส่วนอีกหนึ่งตัวอย่างคือ อาเฟย จะเขียนว่า
“ฝีมือเลิศล้ำ” เด่นทางด้านกำลัง เป็นต้น
กำลังภายใน :
หากศิษย์ตัวไหนมีค่ากำลังภายในสูง โอกาสในการสลายพลัง จากวิชาของศัตรูก็จะมีมาก(ซึ่งสามารถลดโอกาสความเสียหายลงได้)
และในทางตรงกันข้ามหากศิษย์ตัวใดมีกำลังภายในสูง
ก็จะสามารถปล่อยวิชาได้รุนแรงมากขึ้นได้ หากวิชานั้นเน้นกำลังภายใน คำบอกไบ้สีแดงอ่อน จะเขียนว่า
“ฝึกกำลังภายใน” ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์จิวหมอจื้อ
จะเขียนว่า “พลังภายในหนักแน่น” ซึ่งแสดงว่าจะเด่นทางด้านกำลังภายใน
ท่าร่าง : อันนี้หลายคนคิดว่าเป็นการหลบ แต่จริงๆแล้วท่าร่างคือความเร็วในการโจมตี หากศิษย์ใดมีค่าท่าร่างสูงสุดในการต่อสู้ จะทำให้โจมตีก่อนศิษย์คนอื่นๆ และนอกจากนี้หากหัวหน้าค่าย(ตัวหน้าสุด)
มีค่าท่าร่างสูงๆ ก็จะมีผลทำให้โอกาสในการสวนกลับบ่อยขึ้น และนอกจากนี้ก็จะมีผลกับความรุนแรง
ในวิชาที่ต้องใช้ท่าร่างเป็นส่วนประกอบในการปล่อยด้วย คำบอกไบ้สีแดงอ่อน จะเขียนว่า “ท่าร่าง” หรือ
“วิชาตัวเบาเหมือนลม” ยกตัวอย่างเช่น
ศิษย์อุ้ยเสี่ยวป้อ จะเขียนว่า
“ฝึกท่าร่างกาย” ซึ่งแสดงว่าจะเด่นทางด้านท่าร่างและเลือด ส่วนอีกหนึ่งตัวอย่าง เช่นชอลิ้วเฮียง จะเขียนว่า
“วิชาตัวเบาเหมือนลม”
แสดงว่าเด่นเฉพาะท่าร่างเพียงอย่างเดียว เป็นต้น
ป้องกัน : อันนี้ก็ตรงความหมายคือค่าป้องกัน หากศิษย์ใดมีค่าป้องกันมาก ก็จะลดโอกาสความเสียหายจากการโจมตีแบบธรรมดา และแบบวิชา คำบอกใบ้สีแดงอ่อน จะเขียนว่า “ป้องกัน” หรือ “ป้องกันดั่งเหล็ก” ยกตัวอย่าง คือ กีเบียงหยัง จะเขียนว่า “วรยุทธป้องกัน” และเซียวฮื้อยี้ ที่เขียนว่า “ป้องกันดั่งเหล็ก”
แม่น : อันนี้ความหมายก็คือความแม่นยำในการโจมตีแบบธรรมดา หากศิษย์ใดมีค่าความแม่นสูง ก็จะสามารถโจมตีศัตรูได้ถึงตัว แต่หากศิษย์ใดมีค่าความแม่นต่ำก็อาจจะทำให้ศัตรูหลบได้เช่นกัน ศิษย์ที่เด่นทางด้านแม่นยำคือ “ลี้คิมฮวง” ที่มีค่าความแม่นเริ่มต้นที่ 100 (เพราะเขาคือร้อยลี้ไม่พลาดเป้า)
หลบ : อันนี้จะตรงข้ามกับแม่น
เพราะว่าหากศิษย์ใดมีค่าหลบสูงโอกาสที่จะหลบการโจมตีธรรมของศัตรูก็จะมีมากเช่นกัน แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับศัตรูด้วย เพราะหากศัตรูมีค่าความแม่นที่สูงมาก
ต่อให้เรามีค่าหลบที่สูง
ก็อาจจะโดนโจมตีได้ถึงตัว
ศิษย์ที่เด่นทางด้านการหลบ คือ
เอี๊ยบไค ที่มีค่าหลบเบื้องต้นที่ 100 (
แบบว่าอาจารย์ลี้คิมฮวงแม่น 100 ลูกศิษย์ก็เลยแก้ทางเป็นหลบ 100 อันนี้คิดเอาเองนะ 555+)
คริติคอล :
หากคริติคอลมีค่าสูง
โอกาสที่ศิษย์จะโจมตีแบบธรรมดา และโจมตีแบบวิชา ติดคริติคอลสูง แต่ไม่ได้เกี่ยวกับความรุนแรง มีผลแค่เรื่องของการติดคริติคอลบ่อยเท่านั้น
ต้านคริติคอล : หากศิษย์ใดมีค่าต้านคริติคอลสูง ก็จะลดโอกาสถูกโจมตีที่ติดคริติคอล
ทั้งแบบโจมตีธรรมดา และแบบโจมตีวิชา
สรุปง่ายๆคือ ค่าต้านคริติคอลสูง โอกาสที่จะโดนตีติดคริติคอลก็ต่ำ
สมาธิ : อันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
หลายคนคงคิดถึงเรื่องการนั่งสมาธิอันนี้ไม่เกี่ยวนะครับ ค่าสมาธินี้จะสอดคล้องกับ คริติคอล หมายความว่า หากศิษย์มีค่าสมาธิสูง
ก็จะทำให้การโจมตีที่ติดคริติคอล ได้รุนแรงขึ้น
สมมติว่า เฉียวฟง โจมตีธรรมดา
ค่าเสียหาย 200 แต่ถ้าติดคริติคอล
จะเพิ่มเป็น 300 (อันนี้สมมติว่าสมาธิยังต่ำๆ)
แต่ต่อมาเพิ่มสมาธิเข้าไปสูงขึ้น
การโจมตีที่ติดคริติคอลจะเพิ่มเป็น 500
อันนี้เป็นการสมมติเพื่อให้เห็นภาพนะครับ
จริงๆแล้วค่าความรุนแรงนั้นก็ต้องอาศัย กำลัง ควบคู่กันไปด้วย
ชีพจร
ศิษย์แต่ละคนจะมีชีพจร
เพื่อเสริมคุณสมบัติทางด้านต่างๆ ซึ่งจะประกอบไปด้วยทั้งหมด 8 จุด
ซึ่งแต่ละจุดนั้นต้องอาศัยรีเวลในการเปิดชีพจร ซึ่งชีพจรจะเปิดจุดใหม่ๆทุก 15 เวล และจะครบทุกจุดที่เวล 120
อีกทั้งชีพจรที่ปรากฏนั้นจะเกิดขึ้นแบบสุ่ม นอกจากนี้ชีพจรก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
เปี้ย(สีเขียว) อิก(สีฟ้า) กะ(สีม่วง)
ดังนั้นหากใครที่ดวงดี
เวลาเวลถึงก็ได้ชีพจรระดับ กะ หรือ อิก ติดตัวมาเลย แต่หากใครดวงบอด ก็ได้ชีพจรระดับ เปี้ย
มาทั้งหมด แต่หากใครดวงบอดก็อย่าพึ่งหมดกำลังใจ เพราะสามารถใช้ “น้ำยาล้างกระดูก”
เปลี่ยนชีพจรให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้
ในส่วนของการเปลี่ยนชีพจรนั้น
ไม่มีอะไรแนะนำเป็นวิทยาศาสตร์นะครับ
ต้องใช้ใจ(ใจต้องถึง) และดวง(ดวงต้องเฮง) ล้วนๆครับ
การอัพชีพจรศิษย์
สำหรับศิษย์ตัวหน้า ควรจะต้องเปลี่ยนชีพจรให้ได้ หลบระดับอิกขึ้นไป
อย่างน้อย 1 อัน
ส่วนนอกนั้นควรเน้นชีพจรป้องกัน , ต้านคริติคอล
, เลือด
สำหรับศิษย์แนวหลังที่เน้นใช้วิชาที่รุนแรง
โจมตีเป็นกลุ่ม หรือทั้งหมด ควรเน้นชีพจรที่เป็นคริติคอล ,
สมาธิ , แม่น
เอาไว้เยอะๆ ส่วนชีพจรที่เป็น
กำลัง , กำลังภายใน , ท่าร่าง
ก็สามารถใช้ได้แต่ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของศิษย์แต่ละคน
ส่วนศิษย์ในแดนกลางนั้น ไม่มีอะไรเป็นมาตรฐานนะครับ ให้ขึ้นอยู่กับกลยุทธของเจ้าสำนักแต่ละคนว่า จะให้ศิษย์แต่ละตัวทำหน้าที่แบบไหน เช่นบางสำนักเน้นบุก ก็ให้อัพตามศิษย์แนวหลังได้เลย ,
บางสำนักเน้นป้องกันอีกชั้น
ก็ให้อัพเหมือนศิษย์ตัวหน้า , แต่หากไม่มีอะไรแน่ชัดก็ให้อัพ แยกเป็นตัวๆไปครับ ตามความถนัดของศิษย์แต่ละบุคคล
ค่ายกล
เจ้าสำนักหน้าใหม่หลายท่านคง มีข้อสงสัยเกี่ยวกับค่ายกลว่า ค่ายไหนดี
Dtac
หรือ True Move เอ้าอันนี้ไม่ใช่ จริงๆแล้วค่ายกลแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ กะ(สีม่วง)
อิก(สีฟ้า) เบี้ย(สีเขียว)
ซึ่งค่ายกลจะสามารถอัพเกรดได้จนถึงเวล 6 (Max) และนอกจากนี้ค่ายกลแต่ละค่ายก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
แต่หลักๆในช่วงเริ่มต้นนั้นไม่ต้องซีเรียสเรื่องค่ายกลมากนักเพราะการฝ่าด่านต่างๆยังไม่ยากเย็นอะไร จากประสบการณ์ในการท่องยุทธจักรที่ผ่านมา ค่ายกลที่ใช้แล้วดีที่สุดทั้งทางด้านป้องกันและโจมตี จะต้องมีคุณสมบัติ ส่วนหน้าเน้น ป้องกัน ---
ส่วนกลางเน้น กำลัง(หรือกำลังภายใน) --- ส่วนหลังเน้นกำลัง
โดยส่วนตัวค่ายกลที่ควรลงทุนในการตีบวกให้ถึงระดับ 6 นั้น
คงจะเป็นค่ายกลใดไม่ได้ นอกเสียจาก
“ค่ายกล 5 ธาตุ” [สามารถใช้หยวนเซิ่น (คือดวงไฟสีฟ้า
ที่มีให้กดรับที่ลานประลองทุกวัน) และซื้อได้ที่ตำนานไร้พ่าย]
แต่หากเจ้าสำนักท่านใดได้ค่ายกลระดับกะขึ้นไป
ก็คงต้องพิจารณาถึงกลยุทธ์ในการวางแผนการต่อสู้กันอีกที
เนื่องจากค่ายกลระดับกะหลายๆค่ายก็มีคุณสมบัติที่ไม่น่าใช้ แต่ถ้าจะยกค่ายกลอันดับ 1 คงจะต้องเป็น ค่ายกล
“ไม้เท้าตีสุนัข” ที่เน้น ส่วนหน้าเน้น
ป้องกัน --- ส่วนกลางเน้น กำลัง --- ส่วนหลังเน้นกำลัง
การวางตำแหน่งศิษย์ที่ดี
ส่วนหน้าค่าย : ควรจะวางศิษย์ที่มีค่าป้องกัน และเลือดสูงๆ
และควรจะฝึกฝนศิษย์หัวหน้าค่ายให้มีค่าการหลบ ,
ต้านคริติคอล ไว้สูงๆด้วย จะทำให้ไม่ตายง่ายๆ อีกทั้งต้องให้ใส่ชุด หมวก
และของที่ช่วยเพิ่มเลือด หรือป้องกันไว้เยอะๆให้แก่ศิษย์ตัวหน้าด้วย
ส่วนกลางค่าย : ควรวางศิษย์ที่มีเลือดระดับกลางๆไว้ อีกทั้งควรจะเป็นศิษย์ที่มีการโจมตีธรรมดา
หรือโจมตีด้วยวิชาที่รุนแรงพอสมควรเอาไว้ด้วย
ส่วนการฝึกฝนต้องแล้วแต่ทักษะศิษย์แต่ละตัว นอกจากนี้ควรจะต้องมีชุดป้องกันและเครื่องประดับที่มีคุณสมบัติเพิ่มเลือดรวมอยู่ด้วย เพื่อป้องกันเรื่องของโดนวิชาจำพวก
“ยิงกระเด็น”
ส่วนหางค่าย : ควรวางศิษย์ที่โจมตีทั้งแบบธรรมดาหรือแบบวิชาที่รุนแรงที่สุดของสำนักไว้ โดยเฉพาะตำแหน่งหางค่ายบน(มู่หยงฟู่)
และล่าง(เต็งชุนชิว) ส่วนตำแหน่งตรงกลางนั้นควรจะหลีกเลี่ยงเพราะว่าอาจจะโดนวิชาประเภททะลวงได้ง่ายๆ การฝึกฝนศิษย์ในส่วนนี้ควรเน้น คริติคอล
และสมาธิเป็นหลัก
ของที่ควรใส่ให้กับศิษย์ในส่วนห่างค่ายนั้นควรเน้นพวกสร้างคริติคอล , สมาธิ
รวมไปจนถึงของที่ช่วยเพิ่มกำลัง เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีให้กับศิษย์ที่เอาไว้เป็นอาวุธเด็ดในการต่อสู้
วิชายุทธ
วิชายุทธแบ่งออกเป็น 3
ประเภท คือ 1.) วรยุทธ 2.) กำลังภายใน 3.) วิชาตัวเบา ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1.)
วรยุทธ : จะเน้นการใช้ กำลัง ในการปล่อยท่า
ดังนั้นศิษย์ที่จะมาใช้วิชาสายนี้ จะต้องมีกำลังที่ค่อนข้างสูง
ถึงจะเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น วิชาเก้ากระบี่เดียวดาย จะประกอบไปด้วยการใช้ กำลัง 7 ส่วน
กำลังภายใน 3 ส่วน ในการปล่อยท่า
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ากำลังจะมีสัดส่วนเยอะกว่ากำลังภายใน
จึงเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักจำเป็นที่จะต้องหาศิษย์ที่มี “กำลัง”
มากๆมาใช้วิชานี้
2.)
กำลังภายใน : จะเน้นการใช้ กำลังภายใน ในการปล่อยท่า
ดังนั้นศิษย์ที่จะมาใช้วิชาสายนี้ จะต้องมีกำลังภายในที่ค่อนข้างสูง
ถึงจะเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น วิชาราชสีห์คำราม
จะประกอบไปด้วยการใช้กำลังภายใน 10 ส่วน(ทั้งหมด)ในการปล่อยท่า ดังนั้นหากนำศิษย์ที่มี ”กำลังภายใน”
มากๆมาใช้วิชานี้ ก็จะทำให้เกิดความรุนแรงได้มากขึ้น
3.)
วิชาตัวเบา : จะเน้นการใช้ ท่าร่าง ในการปล่อยท่า ดังนั้นศิษย์ที่จะมาใช้วิชาสายนี้
จะต้องมีท่าร่างที่ค่อนข้างสูง ถึงจะเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น
พลังกวดจันทราเด็ดดาว
จะประกอบไปด้วยการใช้ท่าร่าง 10 ส่วน(ทั้งหมด)ในการปล่อยท่า ดังนั้นหากนำศิษย์ที่มี ”ท่าร่าง” มากๆมาใช้วิชานี้
ก็จะทำให้เกิดความรุนแรงได้มากขึ้น
วิธีคิดความรุนแรงการโจมตีด้วยวิชา จะขอยกตัวอย่างวิชามีดบินลี้น้อย
ที่ติดตั้งในศิษย์อุ้ยเสี่ยวป้อ ที่มีกำลัง 1,379
กำลังภายใน 1,026 ท่าร่าง 1,695 โดยที่วิชา ณ
ตอนติดตั้งนี้เป็นวิชาบุกเดี่ยว ความแรง 371
ดังนี้
วิชามีดบินลี้น้อย ประกอบไปด้วยการใช้ท่าร่าง 7
ส่วน และ กำลังภายใน
3 ส่วนในการปล่อยวิชา ดังนั้นจะได้การคำนวณความรุนแรง ดังนี้ ( 1,695 x 7) + (1,026 x 3 ) x
371/100 จะเท่ากับ 5,544
แล้วหลังจากนั้นให้นำกำลัง คือ 1,379 มาบวกเพิ่มอีกครั้ง สรุปจะได้ความรุนแรงจากวิชามีดบินลี้น้อยจากอุ้ยเสี่ยวป้อ เท่ากับ 5,544 + 1,379 = 6,923
การโจมตีด้วยวิชา จะแบ่งการโจมตีออกแบบ 5 ลักษณะ คือ
1.)
บุกเดี่ยว :
เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูเพียง 1 เป้าหมาย ความรุนแรงที่ได้รับ 100%
2.)
กวาดล้าง : เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูเป็นแถวแนวดิ่ง ความรุนแรงที่ศัตรูตัวแรกได้รับ 100%
ส่วนศัตรูที่อยู่ในแนวเดียวกันตัวอื่นจะได้รับความรุนแรงเพียง
50%
3.)
ทะลวง : เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูเป็นเส้นตรงแนวนอน
ศัตรูตัวแรกจะได้รับความรุนแรง 100% ส่วนศัตรูตัวหลังจะได้รับความรุนแรงเพียง
50% (ภาพนี้ต้องขออภัยสำนักชูกำลัง2 ไม่มีท่าทะลวง)
4.)
ยิงกระเด็น : เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูเป็นกลุ่ม ศัตรูตัวแรกจะได้รับความรุนแรง 100%
ส่วนศัตรูที่อยู่ข้างเคียงจะได้รับความเสียหายเพียง 32%
5.)
ทั้งหมด : เป็นวิชาที่โจมตีศัตรูทุกตัว ศัตรูตัวแรกจะได้รับความรุนแรง 100% ส่วนศัตรูคนอื่นๆจะได้รับความเสียหายเพียง 32%
( ขอบคุณข้อมูลจาก bbs.siamgame.in.th ) ( ภาพตัวอย่างต้องขอขอบคุณสำนักชูกำลัง2 , สำนักเทพสุดตีน และสำนักทะลวงไข่ซีกซ้าย ในเซิรฟเทพกระบี่ด้วยครับ)
ความลับสวรรค์ในการตีบวกค่ายกลและวิชา
1.)
ในระดับการตีบวกเวล 1 – 2 ควรใช้ค่ายกล หรือวิชาระดับเปี้ย(สีเขียว) ในการตีบวกพอครับ ทั้งนี้เพื่อประหยัดทรัพยากร อีกทั้งโอกาสในการอัพเกรดสำหรับ สำหรับเวล 1-2 นั้นยังมีโอกาสสำเร็จสูงอยู่
จึงไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรที่สูงกว่านี้
2.)
ในระดับการตีบวกเวล 3 – 4 ควรใช้ค่ายกล หรือวิชาระดับอิก(สีฟ้า) ขึ้นไปในการตี
เพราะในระดับการตีเวล 3 – 4
นั้นโอกาสการอัพเกรดสำเร็จนั้นจะเริ่มลดลงแล้ว
จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรที่สูงขึ้น
เพื่อให้โอกาสความสำเร็จเพิ่มสูงขึ้น
ในส่วนนี้ควรใส่ให้ครบ 5 ช่องไปเลยครับ (เพราะโอกาสอัพเกรดสำเร็จยังมีอยู่สูงพอสมควร
3.)
ในระดับการตีบวกเวล 5 – 6 ควรใช้ค่ายกล หรือวิชาระดับอิก(สีฟ้า) เช่นกัน
แต่โอกาสที่จะอัพเกรดจะสำเร็จนั้นจะต่ำมาก
แบบว่าใส่ไปเต็ม 5 ช่องโอกาสสำเร็จเพียง 20- 30% เท่านั้น จากประสบการณ์อัพเกรดในช่วงเวล 5 – 6 นี้ ผมขอแนะนำว่าใส่ทรัพยากรไปเพียง 3-4 ชิ้นก็พอครับ ให้โอกาสความสำเร็จขึ้นเพียง 13 – 18 % ก็พอแล้ว
เพราะเนื่องจากว่าโอกาสการอัพเกรดสำเร็จนั้นต่ำมาก ตามหลักทางคณิตศาสตร์แล้ว
แทบจะเป็นไปได้ยากมาก
แต่ก็อย่างที่คุณครูสอนกันมาว่า
“ไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็มีโอกาสเป็นไปได้ทั้งนั้น” สรุปนะครับ ต้องอาศัย “ดวง”
ในการตีครับสำหรับขั้น 5 – 6
4.)
ควรจะสะสมค่ายกล หรือวิชา
สต็อกไว้ประมาณ 50 ชิ้นสำหรับการอัพเกรดค่ายกลหรือวิชาที่เริ่มต้นจากระดับ 1 ยกตัวอย่างนะครับ ผมวางแผนว่า
อีก 1 อาทิตย์ผมจะแลกค่ายกลในตำนานไร้พ่ายมาใช้ ในระหว่างนั้นผมก็ได้สะสมค่ายกลทั้งระดับเปี้ย
และระดับอิกไว้ก่อนเลยครับ
ผมเตรียมเอาไว้ประมาณ 52 ชิ้น
หลังจากนั้นผมก็แลกค่ายกล
พอหลังจากได้มาไม่รอช้าครับ
ทำตามสเต็ป 1 – 3 ที่ว่ามารวดเดียวเวล 6 ครับ
(จากประสบการณ์จริง)
นี่เป็นเพียงอีก 1
คัมภีร์ที่เจ้าสำนักหน้าใหม่ๆทุกคนจะต้องทราบ
ทั้งนี้ในคัมภีร์เล่มต่อไป
จะเป็นการเดินทางเพื่อไปสู่เป้าหมายในการท่องยุทธจักร คัมภีร์เล่มต่อไปมีชื่อว่า “คัมภีร์
วางหมากปราบปรมาจารย์”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น