เรียนราม อย่างไร
ให้จบ 3 ปี ( เกียรตินิยม )
เรียนเอง ไม่ต้องพึ่งติวเตอร์ ตอนที่ 2
เริ่มเข้าสู่ปี 2 : ย้ายถิ่นไปเป็นเด็กหน้ารามกัน
เนื่องจากวิชาในปี 2 ส่วนใหญ่จะต้องเรียนที่ราม1 มีเพียงบางวิชาที่ต้องเรียนที่ราม2 ดังนั้นผมและเพื่อนๆ จึงได้ย้ายที่อยู่ไปราม1 แทน ซึ่งในตอนนั้นหอพักอยู่ในซอยราม 65 (มหาดไทย) เป็นอะไรที่ถูกใจมากเพราะว่ามีทั้งสนามบอล และ FBT ซึ่งเด็กเตะบอลอย่างเราๆชอบอยู่แล้ว
ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องหนังสือเรียน ผมยังคงซื้อชีทหน้ารามอยู่ (ในตอนนั้นรู้แล้ว ว่าซื้อหนังสือที่สำนักพิมพ์ ) แต่ด้วยความที่เราเคยอ่านชีทแล้วทำข้อสอบได้ดี ก็เลยใช้ต่อ ส่วนวิชาที่ผมลงในปีนั้นมีวิชา EC211 , EC212 , EC214 , EC219 , EC201 , PY105 , ST209 ซึ่งในตอนนั้นการเลือกวิชาลงของนักศึกษาจะต้องไปดู มร.30 ประกอบว่าวิชานั้นๆเรียนวันไหน เวลาใด สถานที่อะไร ซึ่งหลักการเลือกวิชาเรียนของผมในตอนนั้นคือ เลือกวิชาบังคับก่อน (โดยไม่สนว่ายากหรือง่าย) และเวลาเรียนจะต้องไม่ชนกัน จึงทำให้ในภาคเรียนแรก ของปี 2 ผมลงเรียนไป 7 วิชา 21 หน่วยกิจ (เนื่องจากผมมีเป้าหมายว่าจะจบ 3 ปี) ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ควรใช้วิธีนี้นะครับ เพราะว่าตอนนั้นผมเครียดมาก เจอวิชายากๆหลายวิชา แต่ทำไงได้ในเมื่อเลือกเรียนแล้ว ก็ต้องทำให้ได้
ทีนี้มาถึงเรื่องเบาๆกันบ้างคือ เรื่องการแต่งกายไปเรียน พอมาถึงปี 2 แล้ว ผมก็เริ่มรู้สึกว่าเราอยากแต่งตัวแบบชิวๆไปเรียนบ้าง ก็เลยจัดไป “ 3 ย 1 ต “ งง กันมั๊ยครับเพื่อนๆ ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้ยังเป็นอยู่หรือไม่ 3 ย คือ ย่าม เสื้อยืด การเกงยีนส์ ส่วน 1 ต คือ รองเท้าแตะ แต่ของผมเพิ่มไปอีก 1ย คือ ผมยาว ด้วย ทีแรกอยากจะเท่ร์กับเขาบ้าง ไปๆมาออกจะดูเถื่อนไปเลยครับ 555+ (แต่งแบบนี้ ไม่มีใครมาหาเรื่องแน่นอน แถมไปเตะบอล มีแต่คนเรียก “พี่”)
เริ่มเรียนปี 2 : ชีวิตเด็กหน้าราม กิจกรรมมันเยอะ
พอเริ่มเปิดภาคเรียน ผมก็ยังคงใช้วิธีเรียนแบบเดิมคือ เข้าเรียนทุกครั้ง อ่านหนังสือก่อนไปเรียน และ ทบทวนเมื่อเรียนเสร็จ คราวนี้ผมได้ที่อ่านหนังสือเพิ่มด้วย ซึ่งก็คือ ห้องอ่านหนังสือติดแอร์ (ไม่แน่ใจว่าอาคาร VPB หรือเปล่านะ) พอเลิกเรียน กินข้าวที่โรงอาหารเสร็จก็ต้องแวะเข้าไปนั่งอ่าน 2-3 บท ในห้องอ่านหนังสือนี้เพื่อนๆคงทราบว่า ไม่มีที่นั่งว่างง่ายๆหรอกครับ ทีแรกผมก็เดินวนเวียนอยู่รอบนอกอยู่นาน พอเห็นที่ว่างก็เข้าไปนั่ง ( บางทีมีการจองด้วย บ้าจริงๆ ) ในช่วงแรกถ้ามีที่นั่งว่างผมถึงจะไปนั่งอ่าน แต่พอหลังๆความมั่นใจมันมีสูง แถมต้องทำความฝันให้เป็นจริงด้วย คราวนี้ถึงไม่มีเก้าอี้ว่าง ผมก็ไม่สนใจ เดินเข้าไปเลยครับ นั่งพื้นพิงกำแพงแม่มเลย ในตอนสมัยนั้นคนนั่งพื้นมีน้อยครับ แต่พอผมนั่งไอ้คนที่จดๆจ้องๆด้านนอกมันก็เดินมานั่งตาม ทีนี้แหละครับนั่งพื้นกันเป็นแทบเลย (ขำดีนะครับ คนไทยต้องมี ไทยนำ)
ทีนี้พอใกล้ถึงช่วงสอบ ผมก็ยังคงใช้วิธีเดิม คือ อ่านไปเรื่อยๆ อ่านซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ทำข้อสอบ แต่ในปี 2 นี้ มันมีสิ่งที่แปลกกว่าปี 1 คือ มันมีข้อสอบอัตนัย 2 วิชา ซึ่งบอกตามตรงตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยทำวิชาอัตนัยเลย ก็เลยไปซื้อตัวอย่างข้อสอบหน้ารามมาอ่าน ซึ่งตอนนั้นเป็นวิชา EC211 , EC212 เป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ ทั้งคู่เลยครับ พอซื้อมาเสร็จผมก็เปิดอ่านดูแนวทางการตอบ ปรากฎว่าอ่านไปอ่านมา พบว่าเฉลยผิดครับ สาเหตุที่ผมรู้ว่าผิดเพราะว่าผมอ่านเนื้อหาซ้ำไปซ้ำมา จนจำได้ขึ้นใจหมดแล้วครับ ก็เลยเริ่มหวาดระแวงกับชีทและข้อสอบหน้าราม ( เฉพาะที่เป็นวิชาอัตนัยนะครับ ส่วนข้อสอบปรนัยผมยังใช้อยู่ แต่บางทีก็เจอเฉลยผิดบ้างเหมือนกัน ) จากนั้นผมจึงเอาเฉพาะแนวข้อสอบอย่างเดียว แล้วจึงมาฝึกเขียนเพื่อตอบโจทย์
พอวันสอบมาถึง ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม เดินๆไป ในมือไร้ซึ่งชีท ข้อสอบ ในมือมีเพียงดินสอ ปากกา ยางลบ และก็ความมุ่งมั่น มั่นใจ จนสอบเสร็จทุกวิชา ในตอนนั้นมั่นใจมากๆว่าจะต้องได้เกรด G อย่างต่ำ 3-4 วิชา แน่นอน แต่พอผลสอบออกมากลับไม่เป็นอย่างที่คิด ความฝันที่จะคว้าเกียรตินิยมพังทะลาย เกรดออกมาแบบนี้ได้ไง
วิชา | หน่วยกิจ | เกรด | เกรดเฉลี่ย |
EC211 | 3 | P | 2.25 |
EC212 | 3 | P | 2.25 |
EC214 | 3 | G | 4 |
EC219 | 1 | P | 2.25 |
EN201 | 3 | P | 2.25 |
PY105 | 3 | P | 2.25 |
ST209 | 3 | P | 2.25 |
รวม | 19 | 2.53 |
สรุปคือผมได้เกรดเฉลี่ยเพียง 2.53 ในภาคเรียนที่ 1 ของปีที่ 2 ซึ่งผมไม่เข้าใจกับผลสอบที่ออกมามากๆ โดยเฉพาะวิชาอัตนัยที่ผมมั่นใจ โดยเขียนไป 2 เล่มทั้ง 2 วิชา อีกทั้งผมทราบคำตอบและเข้าใจคำตอบทั้งหมด ส่วนวิชาอื่นๆผมไม่ขอพูดถึงแล้วกันนะครับ จากวันนั้นทำให้ผมเสียความมั่นใจลงไปมาก และคิดว่าการคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 คงเป็นไปได้ยากล่ะ แต่ก็ยังไม่หยุดสู้นะครับ ก็เลยคิดว่าถ้าอันดับ 1 ไม่ได้ ขอเป็นอันดับ 2 ก็ยังดี เป็นอันจบไปภาคเรียนนี้ กับความเซ็ง และเหนื่อย
เข้าสู่ภาคเรียนที่ 2 : ปรับกลยุทธ์ใหม่ ลาก่อนชีทหน้าราม
พอเข้าภาคเรียนที่ 2 ของปี 2 ผมได้เรียนรู้จากภาคเรียนที่ 1 แล้วว่า รายละเอียดของเนื้อหามันมากขึ้น ชีทหน้ารามนั้นเป็นการสรุปหัวข้อหลักๆเท่านั้น ทำให้ผมได้เป็นลูกค้าของสำนักพิมพ์เสียที ก็เลยจัดไป 7 วิชา ได้แก่ EC213 , EC215 , EC217 , EC341 , EN202 , PA260 , PA330 ในภาคเรียนนี้ ผมได้เลือกวิชาโท เป็นของคณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ ซึ่งสาเหตุที่เลือกเพราะว่าในตอนแรก ผมจะเลือกเป็น วิชาในคณะคือ เศรษฐศาสตร์การเงิน แต่วิชาเอกผมคือ เศรษฐศาสตร์การคลัง จึงทำให้วัน และเวลาที่เรียน มันชนเกือบทุกวิชา จึงทำให้ผมเลือกวิชานอกคณะแทน อีกอย่างคือ เห็นเขาบอกว่าง่าย เลยอยากรู้ว่าจริงเปล่า 555+ ( ปรับแผนจะคว้าเกียรตินิยม)
บรรยากาศในห้องเรียน : มันช่างเงียบเหงาจริงๆ
ทีนี้ได้เรียนวิชาในคณะแล้ว จากเด็กนักศึกษา 7-8 ร้อยคน คราวนี้เหลือไม่ถึง 30 คนต่อ 1 ห้อง ทีแรกประหลาดใจมาก (แต่พอเรียนจบถึงทราบ) เป็นเพราะคนเรียนเศรษฐศาสตร์ รามคำแหงมีน้อยมาก ปีที่ผมจบมีเพียง 700 กว่าคนเองครับ ส่วนคณะอื่นๆเช่น รัฐศาสตร์ , มนุษย์ศาสตร์ จบทีเป็นหลักหมื่นคนครับ ( พึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเสียงส่วนน้อยในสังคม 555+)
คราวนี้ผมมีปากกา ที่เป็นสีๆ ไว้โฟกัสส่วนที่สำคัญๆครับ แต่ยังคงยืนเอกลักษณ์เดิม คือ ไม่จดอะไรเช่นเคย ( เคยมีเพื่อนชาวคณะถามเหมือนกันว่า ขอดูเร็คเชอร์หน่อย ผมบอกไปว่า “ไม่มีครับ” ) แปลกเหรอเรียนหนังสือไม่เคยจด 555+ แต่ในความเป็นจริงนั้นควรจดนะครับ อันนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ ( ถ้าผมจดคงทำได้ดีกว่านี้ )
ในระหว่างเรียนก็ได้เพื่อนเพิ่มครับ อันนี้ควรมีนะครับ (ผมได้เพื่อนจากการทำรายงาน) แต่ในความเป็นจริงแล้วควรหาเพื่อนร่วมคณะไว้นะครับ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ทั้งเรื่องเรียน และเรื่องงาน อย่าคิดว่าตัวเราเก่ง แล้วเท้าไม่แตะพื้นนะครับ (ไม่น่ารักเบย)
หลังจากได้รู้จักเพื่อนๆใหม่ในคณะบ้างแล้ว ก็มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นเลยครับ มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำรายงานกลุ่มเดียวกัน เขาแนะนำผมว่ารู้จัก “ชมรมเศรษฐศาสตร์” หรือเปล่า เพราะมีแนวข้อสอบเก่าๆให้เราได้เขาไปเลือกใช้ทบทวนและเกร็งข้อสอบได้ ซึ่งผมไม่ทราบว่ามีจริงๆครับ ซึ่งจุดนี้สำคัญมากจริงๆครับ ทำให้ผมไม่ต้องไปพึ่งข้อสอบหน้ารามอีกต่อไป เพราะว่าที่ชมรมเศรษฐศาสตร์นี้มีข้อสอบเกือบทุกวิชา ผิดจากข้อสอบหน้าราม ที่ข้อสอบแนวข้อสอบอัตนัยมีน้อยมาก แถมเฉลยผิดๆถูกๆอีก งั้นผมขอข้ามไปถึงผลสอบเลยนะครับ ตามนี้เลยครับ
วิชา | หน่วยกิจ | เกรด | เกรดเฉลี่ย |
EC213 | 3 | G | 4 |
EC215 | 3 | P | 2.25 |
EC217 | 3 | G | 4 |
EC341 | 3 | P | 2.25 |
EN202 | 3 | P | 2.25 |
PA260 | 3 | G | 4 |
PA330 | 3 | P | 2.25 |
รวม | 21 | 3.00 |
พอสอบเสร็จผลสอบออกมา มีเรื่องคาใจ 2 เรื่องคือ วิชา EC215 อันนี้ผมยอมรับครับว่าทำข้อสอบได้ไม่หมดทุกข้อ เป็นเพราะว่าเต็งข้อสอบผิดพลาด และไม่คลอบคลุม ซึ่งตอนนั้นผมทำได้แน่ๆ 3 จาก 5 ข้อ ซึ่งผลก็คือน่าจะผ่านแบบได้ P แต่ตอนทำข้อสอบนั้นมีความคิดหนึ่งวิ่งอยู่ในหัวคือ “จะปล่อยตกแล้วรอสอบซ่อมใหม่เพื่อเอา G จะดีหรือไม่” แต่คิดอีกทีเสียเวลา และศักดิ์ศรีมาก ผมเลยตัดสินใจทำไปเต็มที่ P ก็ไม่เป็นไร ส่วนอีกประเด็นคือวิชา EC341 อันนี้น่าจะต้องได้ G เพราะว่าเขียนไปแบบเต็มที่ ตรงตามวิชาการ แต่ทำไมได้แค่ P หว่าไม่เข้าใจจริงๆ ( สุดท้ายผมถึงรู้ว่าเพราะอะไร ? ตอนท้ายผมจะบอกนะครับ )
Summer ปี 2 : ผลการเรียนมันช่างฟินสุดๆ
พอเข้า Summer ที่ 2 คราวนี้เปลี่ยนกลยุทธเล็กน้อย ลงวิชาง่ายๆเพิ่มเข้ามาบ้าง แล้วก็เลือกวิชาโทในคณะที่อยากเรียน และก็วิชาบังคับอีกหนึ่งวิชา คราวนี้เปลี่ยนใหม่ ตอนเรียนเอาสมุดมาจดบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอามาจดวิชาการนะครับ ผมเอามาจดตัวอย่างที่พวกอาจารย์ชอบยกตัวอย่าง (อันนี้แหละครับ ที่ผมบอกว่าเป็นตัวที่ผมพลาดไปในการสอบอัตนัยทุกๆครั้ง)
ผมขอขยายความในส่วนการยกตัวอย่างในเวลาสอบนะครับ สาเหตุที่ผมไม่ได้เกรด G ในวิชาอัตนัยก่อนๆเป็นเพราะว่าผมยกตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับของผมเอง แต่อาจารย์ผู้ตรวจอาจจะไม่ชอบ หรือไม่เข้าใจ เขาอาจจะไม่ให้คะแนนเราสูง แต่หาก “เราจดตัวอย่างที่เขาชอบพูด “ จะทำให้เวลาตรวจข้อสอบ อาจารย์เขาจะชอบและถูกใจ เพราะว่า ประการแรก คือ เขาไม่ต้องคิดต่อว่าตัวอย่างนั้นถูกหรือไม่ เพราะว่าเป็นตัวอย่างของตัวอาจารย์เอง ประการที่สอง คือ อาจารย์ในเมืองไทยส่วนใหญ่ ชอบให้นักเรียน นักศึกษา เคารพในความคิดของอาจารย์ผู้สอนทั้งหมด และจะไม่ค่อยยอมรับหลักคิด หรือแนวคิดอื่น (พวกความคิดปัจเจกอย่างผมก็เสร็จล่ะสิคร๊าบ)
เอาเป็นว่า Summer นี้ผมเปลี่ยนกลยุทธ์ตั้งแต่การเลือกลงวิชา ยาวไปจนถึงการเขียนข้อสอบอัตนัยกันเลยทีเดียว งั้นเราไปดูผลลัพธ์ที่ได้กันเลยครับ
วิชา | หน่วยกิจ | เกรด | เกรดเฉลี่ย |
EC216 | 3 | G | 4 |
EC331 | 3 | G | 4 |
PA340 | 3 | G | 4 |
PS103 | 3 | G | 4 |
RU100 | 0 | S | 0 |
รวม | 12 | 4.00 |
ผลสอบออกมาแบบที่ตั้งเป้าไว้เลยครับ 4.00 ครั้งแรกของการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ต้องพูดคำพูดอะไรมากมายครับ สรุปได้สั้นๆเลยว่า “ ฟินง่ะ ”
หลังจากผลการเรียนในช่วงหลังเป็นที่น่าพอใจ ผมก็กลับเข้าสู่หนทางเพื่อคว้าเกียรตินิยมอีกครั้ง เพียงแต่ปรับเป้าเล็กน้อย เป็นคว้าอันดับที่ 2 แทนละกัน
สรุป สิ่งที่ทำให้การเรียนประสบผลสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
1.) ต้องหาจุดบกพร่องของตัวเองให้ออกว่า ผิดพลาด ตรงจุดไหน
2.) ต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่ขั้นตอนเลือกลงวิชา เพื่อลดความเครียดและความกดดัน
3.) ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียน และวิธีการตอบข้อสอบ
4.) วิเคราะห์อาจารย์ผู้สอนทุกวิชา ว่ามีแนวการสอนแบบใด ทัศนคติเป็นอย่างไร เปิดกว้างทางความคิด หรือ ยึดติดกับตัวเอง
5.) เพื่อน คือหนึ่งองค์ประกอบของความสำเร็จ หากคุณรู้จักแบ่งปัน เพื่อนก็จะแบ่งปันกลับมา
6.) หากวางแผนใดแล้ว ควรทำตามแผนที่ตั้งไว้ อย่าเดินออกจากแผนระหว่างทาง แม้ว่าจะเจออุปสรรคใดก็แล้วแต่
สุดท้ายนี้ก็จบเรื่องราวของการเรียนในปี 2 ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ และเช่นเคย หากใครต้องการ
ติดตามบทความผมก็เข้าไปติดตามได้ที่ Special Story ใน Facebook หรือใน Blog ที่ Special_Pong ได้เลยครับ
“ ปัญญาที่มีสติ เหนือกว่า อาวุธใดๆในโลกนี้”
Special_Pong