วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ของกินภูเก็ต หรอย ๆ กินอย่างคนภูเก็ต

ของกินภูเก็ต หรอย ๆ
ฉบับ กินแบบคนภูเก็ต (เขากินแบบไหน)
ของกินรอบเช้า เริ่มด้วย เสี่ยวโบ๋ย หรือติ่มซำ

     ก่อนอื่นเลยต้องขอแนะนำตัวครับ  ผมเป็นเด็กภูเก็ตโดยกำเนิด และโดยกำพืด เลยครับ  โตมาในย่านกลางเมืองภูเก็ตเลยครับ  คราวนี้ขออาสานำพาเพื่อนๆ มากินของกินภูเก็ต อร่อยๆ หรือ หรอย ๆ บ้านเรานะครับ  งั้นขอเริ่มเลยนะครับ
      ในช่วงเช้าของคนภูเก็ต  อาหารที่ได้รับความนิยม จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ 1.เสี่ยวโบ๋ย (ติ่มซำ)   2.ขนมจีน  แต่ครั้งนี้ขอกล่าวถึง “เซียวโบ๋ย” ก่อนนะครับ
     เสี่ยวโบ๋ย  เป็นการเรียกของคนภูเก็ตครับ  โดยหมายถึง  ขนมจีบ หรือ ติ่มซำ นั่นเอง  และร้านเสี่ยวโบ๋ย ที่ผมจะแนะนำก็คือ ร้านบุญรัตน์  ซึ่งเป็นร้านเก่าแก  โดยมีการสืบทอดกิจการมากว่า 100 ปีแล้ว  ซึ่งปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 3 ของการสืบทอดแล้วครับ  ปัจจุบันมีอยู่ 3 สาขาครับ (วันนี้ผมขอพูดถึงเฉพาะสาขาข้างธนาคารกรุงไทย เท่านั้นนะครับ)  หากเด็กภูเก็ตอย่างผมจะเลือกกินติ่มซำสักร้าน  ผมจะนึกถึงร้านนี้เป็นร้านแรกครับ  และหากร้านนี้ปิดก็ไม่อยากกินร้านอื่นแล้ว (อันนี้ เหมือนจะพูดเกินจริง  แต่จริงๆแล้วเป็นแบบนี้จริงๆครับ)  ผมกินมาเกือบ 20 ปีแล้วครับ  สมัยก่อนนั่งเล่นเกมส์กับเพื่อนจนเช้า  พอตี 5 กว่าๆ ก็เริ่มหิว  พอเลิกเล่นเกมส์ปุ๊บก็พากันเดินไปกิน(ตอนนั้นมีเพียงร้านเดียวครับ สาขา1)   บ้างวันร้านยังไม่เปิด ก็นั่งรอหน้าร้านกันเลยทีเดียว   มากันที 4-5 คน   พอร้านเปิดปุ๊บก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร  รีบเข้าไปนั่งกันเลย  พอเจ้า”เสี่ยวโบ๋ย” วางลงที่โต๊ะเท่านั้นแหละครับ  “ลงแล้วหายๆ” 555+   อุ๊บ… มัวแต่เล่าเรื่องอดีต  น้ำท่วมทุ่งกันเยอะพอแระ  งั้นเรามาดูกันว่าร้านนี้มีอะไรเด็ดกันบ้าง
อาหารต่างๆก็มีเหมือนร้าน ติ่มซำทั่วๆไป  แต่สิ่งที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ  มีอยู่ 2 อย่าง คือ
1.)      ขนมจีบหมู (เสี่ยวโบ๋ย)  จะมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก  คือตัวแป้งที่ห่อจะมีความหนา และตัวเนื้อหมูภายใน จะมีส่วนผสมของเนื้อขาวติดมันมาด้วย(ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมัน และรสชาตให้อร่อยขึ้นด้วย)  ส่วนตัวหมูภายในก็มีความนุ่มและนิ่ม  ตอนกลืนนี่จะลื่นคอมาก  โดยส่วนตัวผม  การกินวิถีคนพื้นเมืองแบบภูเก็ต  ผมขอยกให้ขนมจีบหมูร้านนี้  คือ “สุดยอดของความอร่อย”
 เสี่ยวโบ๋ยหมู (อันนี้สุดยอดจริงๆ)
ขนมจีบกุ้ง (อันนี้เป็นกุ้งสับๆๆ หลายคนอาจจะไม่ชิน ส่วนตัวผมว่าไม่เท่าไหร่)
IMG_2561
ขนมจีบปู (อันนี้มีปูแค่ด้านบนเองครับ ข้างในเป็นหมู ส่วนตัวกินแล้วไม่ได้รสชาตปูครับ)
2.)      เกี๊ยน  อันนี้เป็นอาหารพื้นเมืองอีกประเภทหนึ่ง  ที่คนภูเก็ตนิยมกินกัน (หากินได้ไม่ง่ายนัก)  ส่วนประกอบหลักๆคือ เนื้อหมูสับ ผสมกับเนื้อปู บอน(ไม่แน่ใจว่า บอน หรือเผือก)  แล้วก็นำไปทอดกรอบ   รูปทรงของเจ้า”เกี๊ยน” นี่ มี 2 ทรงครับ  คือ เรียวยาว  กับ กลม  (แต่ที่ผมถ่ายมาเป็นแบบเรียวยาวครับ)    เวลากินมันจะกรอบนอก นุ่มในครับ  รสชาตของเกี๋ยนร้านนี้  ผมว่าพอใช้ได้ครับ
IMG_2432
เกี๊ยน (ทรงยาว)
IMG_2433
ดูไส้ในกันชัดๆ ว่ามีส่วนผสมอะไรกันบ้าง

ส่วนเมนูอื่นๆ ก็มีไม่แตกต่างจากร้านติ่มซำทั่วๆไปครับ    ดังนั้นเวลาที่ผมไปกินที่ร้าน  ผมจะสั่งเฉพาะ “เสี่ยวโบ๋ย” มาที 4-5 ถ้วยครับ  แล้วก็กินแต่เจ้านี่จริงๆครับ  กินจนอิ่มกันเลยทีเดียว
อันนี้เมนู และราคา ของร้าน บุญรัตน์
                 อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า  ที่แนะนำให้เพื่อนๆมาสาขานี้  ก็เพราะว่า มีการจัดการที่ค่อนข้างดีครับ  โดยมีระบบจัดบัตรคิว  และที่นั่งก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีครับ  เหมาะแก่การต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองดี
IMG_2338
วันนี้ผมได้คิวที่ 10 ครับ  แต่รอไม่นานมากก็ได้นั่งล่ะครับ
IMG_2339
หลังจากเรียกคิว ก็มาเลือกขนมกันก่อนเลยครับ อย่าลืมสั่ง “เสี่ยวโบ๋ยหมู” นะครับ

วิธีกิน “เสี่ยวโบ๋ย” ให้ถึงรสชาติ
อันดับแรก  ต้อง ผ่า ครึ่งก่อนครับ  เพราะหากเรากินทั้งลูก  น้ำจิ้ม จะไม่เข้าถึงเนื้อหมูด้านใน  ซึ่งจะทำให้ไม่ถึงรสชาติเวลาน้ำจิ้มโดนเนื้อหมูด้านใน
IMG_2346
ผ่าครึ่งตามนี้เลยครับ
อันดับต่อไปคือ  เทน้ำจิ้มลงในถ้วยให้เยอะๆ  ยิ่งเต็มยิ่งดี  เอาแบบชนิดที่ว่าเวลา จุ่ม “เสี่ยวโบ๋ย” ลงไปแล้ว ลงลึกทั่วทั้งหมดเลยครับ  ถ้าเป็นแบบที่ผมกินนี่  จะเอาถ้วยที่ใส่ “เสี่ยวโบ๋ย” เป็นที่ใส่น้ำจิ้มเลย  แบบว่าตักราด ลงไปตั้งแต่แรกเลย  แต่มันเสียอย่างคือ  เวลาผ่าครึ่งยากลำบากครับ  เพราะต้องระวังน้ำจิ้มกระเด็นโดนเสื้อ  ดังนั้นผ่าก่อนแล้วราดดีกว่าครับ
IMG_2440
แบบนี้คือ เทน้ำจิ้มลงในถ้วยเสี่ยวโบ๋ย
IMG_2345 IMG_2430 IMG_2431
อันนี้เป็นถ้วยน้ำจิ้มของทางร้าน  จะมีขนาดเล็กครับ  อาจจะใส่น้ำจิ้มได้น้อย ไม่สะใจเวลากินครับ
พอราดทั่วแล้วคงไม่ต้องบอกต่อนะครับว่าต้องทำอย่างไรต่อ  ง่ายๆครับ  “เข้าปาก” เคี้ยว ๆ ๆ ๆ  ฟิน ง่ะ
     ทีเด็ดอีกอย่างของร้านนี้  คือ “น้ำจิ้ม” ที่เป็นแบบใช้พริกแดงมาปั่น บวกส่วนผสมสูตรของร้าน  ทำให้รสชาติที่ว่า  จะเป็นแบบวิถีภูเก็ตมากๆครับ   คนที่นี่จะไม่ชินกับการกิน จิ๊กโฉ่ว ครับ
มาถึงตรงนี้แล้วหากเพื่อนๆท่านใดเกิดความหิว และอยากลิ้มรส “เสี่ยวโบ๋ย” แบบภูเก็ตๆ แล้ว  ก็สามารถเดินทางมาได้ตามนี้เลยครับ
แผนที่บุญรัตน์
อันนี้เป็นแผนที่ร้านครับ โดยสาขานี้คือสาขา 2 ครับ ตรงข้ามโรงแรมรอยัลซิตี้
แต่หากใครสนใจไปสาขาอื่น ก็ตามแผนที่ได้เลยครับ

IMG_2334
หน้าร้าน “บุญรัตน์ สาขา 2”
IMG_2344
การันตีความอร่อย ด้วยสาวน้อยผู้นี้ครับ อิ อิ (ลูกสาวผมเอง)
                หากเพื่อนๆชื่นชอบในผมงานของผม  ก็เช่นเคยครับ  สามารถติดตามได้ที่www.specialpong.com และ หน้าแฟนเพจ Special Story ใน Facebook ครับ

“ ปัญญาที่มีสติ เหนือกว่า อาวุธใดๆในโลกนี้”
                                                                                                                                             Special_Pong
www.Specialpong.com

ตารางดรอปไอเทม By ชูกำลัง2 Kung Fu House

            ตารางดรอปไอเทม  

      By ชูกำลัง2

        Kung Fu House

            ฉบับ หาง่าย ไม่ต้องถามเพื่อนในบอร์ด (เปลืองแตร)

                สวัสดี เพื่อนๆ ชาว K F H (Kung Fu House) ไม่มีอะไรจะพูด  อยากบอกว่า “รักเพื่อนกังฟู ทุกคน” 555+ เริ่มต้นก็ขอเลียนแบบ คนเด่น คนดังใน Social Cam กันก่อนเลยครับ  ครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆมาแชร์ครับ  แต่มีสิ่งเก่าๆ ที่เราถามๆกันอยู่ประจำทุกวัน   เช่น  …มีดร็อปมั๊ย , …อยู่ด่านไหน , …ใครรู้ช่วยบอกที
                มันหมดยุคแห่งการถามแล้วครับ  วันนี้เราขอเสนอ Kung Fu Direct  คัมภีร์ที่จะทำให้ท่านสามารถเข้าสู่  ไอเท็มในการหมุนกงล้อ โดยไม่ต้องถามเพื่อนแล้ว  โอ้ว ซาร่า  มันยอดเยี่ยมหรือไม่   ว้าว จอร์จ มันน่าเหลือเชื่อมาก  ฉันไม่ต้องเสียเวลามานั่งเปิดหาตามด่านอีกต่อไป  มันคือ สุดยอดนวัตกรรม แห่งยุคของ กังฟู จริงๆ  555+ ( เอาเป็นว่า  ขอฮาๆ แบบน้ำท่วมทุ่งกันก่อนนะครับ  เพราะเนื้อหาไม่มีอะไรมาก แต่สุดยอดแน่นอนครับ)
                หลายคนคงเสียเวลาหาไอเท็มตามด่าน (ทีละด่าน) เพื่อหาของไปสุ่มกงล้อดวงจิต  วันนี้ผมขออาสา จัดทำตารางการดร็อปของแต่ละด่าน มาให้เพื่อนๆได้เปิดหาแบบง่ายๆกันนะครับ  ซึ่งด่านที่ผมทำมานั้น  เริ่มตั้งแต่ด่าน  เมืองฉางอัน จนถึง วังต้องห้าม  ก่อนนะครับ  ส่วนแมพที่มาใหม่นั้น  ยังเก็บได้ไม่หมดครับ เลยยังไม่ได้จัดทำ    มาดูกันครับ นวัตกรรมที่ผมว่า  ( ทั้งนี้ผมได้ใส่เลขด่าน ไว้ตรงกลางภาพ เพื่อให้สะดวกแก่การหาด้วยนะครับ ลองสังเกตดูดีๆ)
 เมืองฉางอัน
ตารางไอเท็ม
เขาลั่วถัว
Slide2
วังบุปผา
Slide3
เกาะดอกท้อ
Slide4
ศาลาชอลิ้วเฮียง
Slide5
เมืองหยางโจว
Slide6
หุบเขาไร้รัก
Slide7
เวิ้งนางแอ่น
Slide8
วัดว่านอันซื่อ
Slide9
ที่ชุมนุมพรรค
Slide10
วัดทวนเหล็ก
Slide11
หออันดับหนึ่ง
Slide12
วัดหลวงซีเซี่ย
Slide13
เขาบู๊ตึ้ง
Slide14
หุบเขาท้อ
Slide15
วัดเส้าหลิน
Slide16
ทุ่งหญ้ามองโกล
Slide17
ยอดเจิดจรัส
Slide18
วังเตงเฮี้ยง
Slide19
สุสานโบราณ
Slide20
วังต้องห้าม
Slide21
Slide22

                สุดท้ายนะครับ  ก็ได้แต่หวังว่าตารางที่ผมจัดทำขึ้น จะมีประโยชน์กับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยครับ  หากจอมยุทธท่านใดชื่นชอบผลงาน ฝากกด Like หน้าเพจ Special Story ใน Facebook  และหากต้องการติดตามผลงาน  www.specialpong.com กันได้เลยครับ


                                        “ ปัญญาที่มีสติ เหนือกว่า อาวุธใดๆในโลกนี้”
                                                                                       Special_Pong
www.Specialpong.com

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรียนราม อย่างไร ให้จบ 3 ปี (เกียรตินิยม) ตอนที่ 2

เรียนราม อย่างไร

ให้จบ 3 ปี ( เกียรตินิยม )

เรียนเอง ไม่ต้องพึ่งติวเตอร์ ตอนที่ 2

รามรวม 
เริ่มเข้าสู่ปี 2 : ย้ายถิ่นไปเป็นเด็กหน้ารามกัน
เนื่องจากวิชาในปี 2 ส่วนใหญ่จะต้องเรียนที่ราม1  มีเพียงบางวิชาที่ต้องเรียนที่ราม2  ดังนั้นผมและเพื่อนๆ จึงได้ย้ายที่อยู่ไปราม1 แทน  ซึ่งในตอนนั้นหอพักอยู่ในซอยราม 65 (มหาดไทย)  เป็นอะไรที่ถูกใจมากเพราะว่ามีทั้งสนามบอล และ FBT  ซึ่งเด็กเตะบอลอย่างเราๆชอบอยู่แล้ว
ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องหนังสือเรียน  ผมยังคงซื้อชีทหน้ารามอยู่ (ในตอนนั้นรู้แล้ว ว่าซื้อหนังสือที่สำนักพิมพ์ ) แต่ด้วยความที่เราเคยอ่านชีทแล้วทำข้อสอบได้ดี ก็เลยใช้ต่อ  ส่วนวิชาที่ผมลงในปีนั้นมีวิชา EC211 , EC212 , EC214 , EC219 , EC201 , PY105 , ST209  ซึ่งในตอนนั้นการเลือกวิชาลงของนักศึกษาจะต้องไปดู มร.30 ประกอบว่าวิชานั้นๆเรียนวันไหน เวลาใด สถานที่อะไร   ซึ่งหลักการเลือกวิชาเรียนของผมในตอนนั้นคือ  เลือกวิชาบังคับก่อน (โดยไม่สนว่ายากหรือง่าย) และเวลาเรียนจะต้องไม่ชนกัน  จึงทำให้ในภาคเรียนแรก ของปี 2 ผมลงเรียนไป 7 วิชา 21 หน่วยกิจ (เนื่องจากผมมีเป้าหมายว่าจะจบ 3 ปี) ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ควรใช้วิธีนี้นะครับ  เพราะว่าตอนนั้นผมเครียดมาก เจอวิชายากๆหลายวิชา  แต่ทำไงได้ในเมื่อเลือกเรียนแล้ว  ก็ต้องทำให้ได้
ทีนี้มาถึงเรื่องเบาๆกันบ้างคือ เรื่องการแต่งกายไปเรียน  พอมาถึงปี 2 แล้ว  ผมก็เริ่มรู้สึกว่าเราอยากแต่งตัวแบบชิวๆไปเรียนบ้าง  ก็เลยจัดไป  “ 3 ย 1 ต “  งง กันมั๊ยครับเพื่อนๆ  ผมไม่แน่ใจว่าสมัยนี้ยังเป็นอยู่หรือไม่  3 ย คือ ย่าม  เสื้อยืด  การเกงยีนส์  ส่วน 1 ต คือ รองเท้าแตะ  แต่ของผมเพิ่มไปอีก 1ย คือ ผมยาว ด้วย  ทีแรกอยากจะเท่ร์กับเขาบ้าง  ไปๆมาออกจะดูเถื่อนไปเลยครับ 555+ (แต่งแบบนี้ ไม่มีใครมาหาเรื่องแน่นอน แถมไปเตะบอล มีแต่คนเรียก “พี่”)
เริ่มเรียนปี 2  : ชีวิตเด็กหน้าราม กิจกรรมมันเยอะ
พอเริ่มเปิดภาคเรียน  ผมก็ยังคงใช้วิธีเรียนแบบเดิมคือ เข้าเรียนทุกครั้ง  อ่านหนังสือก่อนไปเรียน และ ทบทวนเมื่อเรียนเสร็จ  คราวนี้ผมได้ที่อ่านหนังสือเพิ่มด้วย  ซึ่งก็คือ ห้องอ่านหนังสือติดแอร์ (ไม่แน่ใจว่าอาคาร VPB หรือเปล่านะ) พอเลิกเรียน กินข้าวที่โรงอาหารเสร็จก็ต้องแวะเข้าไปนั่งอ่าน 2-3 บท  ในห้องอ่านหนังสือนี้เพื่อนๆคงทราบว่า ไม่มีที่นั่งว่างง่ายๆหรอกครับ  ทีแรกผมก็เดินวนเวียนอยู่รอบนอกอยู่นาน  พอเห็นที่ว่างก็เข้าไปนั่ง ( บางทีมีการจองด้วย บ้าจริงๆ ) ในช่วงแรกถ้ามีที่นั่งว่างผมถึงจะไปนั่งอ่าน  แต่พอหลังๆความมั่นใจมันมีสูง แถมต้องทำความฝันให้เป็นจริงด้วย  คราวนี้ถึงไม่มีเก้าอี้ว่าง  ผมก็ไม่สนใจ เดินเข้าไปเลยครับ  นั่งพื้นพิงกำแพงแม่มเลย  ในตอนสมัยนั้นคนนั่งพื้นมีน้อยครับ  แต่พอผมนั่งไอ้คนที่จดๆจ้องๆด้านนอกมันก็เดินมานั่งตาม  ทีนี้แหละครับนั่งพื้นกันเป็นแทบเลย (ขำดีนะครับ คนไทยต้องมี ไทยนำ)
ทีนี้พอใกล้ถึงช่วงสอบ  ผมก็ยังคงใช้วิธีเดิม  คือ อ่านไปเรื่อยๆ อ่านซ้ำไปซ้ำมา  แล้วก็ทำข้อสอบ  แต่ในปี 2 นี้ มันมีสิ่งที่แปลกกว่าปี 1 คือ  มันมีข้อสอบอัตนัย 2 วิชา  ซึ่งบอกตามตรงตั้งแต่เรียนมายังไม่เคยทำวิชาอัตนัยเลย  ก็เลยไปซื้อตัวอย่างข้อสอบหน้ารามมาอ่าน  ซึ่งตอนนั้นเป็นวิชา EC211 , EC212 เป็นวิชาเศรษฐศาสตร์  ทั้งคู่เลยครับ  พอซื้อมาเสร็จผมก็เปิดอ่านดูแนวทางการตอบ  ปรากฎว่าอ่านไปอ่านมา พบว่าเฉลยผิดครับ  สาเหตุที่ผมรู้ว่าผิดเพราะว่าผมอ่านเนื้อหาซ้ำไปซ้ำมา จนจำได้ขึ้นใจหมดแล้วครับ  ก็เลยเริ่มหวาดระแวงกับชีทและข้อสอบหน้าราม  ( เฉพาะที่เป็นวิชาอัตนัยนะครับ ส่วนข้อสอบปรนัยผมยังใช้อยู่ แต่บางทีก็เจอเฉลยผิดบ้างเหมือนกัน ) จากนั้นผมจึงเอาเฉพาะแนวข้อสอบอย่างเดียว  แล้วจึงมาฝึกเขียนเพื่อตอบโจทย์
พอวันสอบมาถึง  ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม  เดินๆไป ในมือไร้ซึ่งชีท ข้อสอบ  ในมือมีเพียงดินสอ ปากกา ยางลบ  และก็ความมุ่งมั่น มั่นใจ  จนสอบเสร็จทุกวิชา  ในตอนนั้นมั่นใจมากๆว่าจะต้องได้เกรด G อย่างต่ำ 3-4 วิชา แน่นอน  แต่พอผลสอบออกมากลับไม่เป็นอย่างที่คิด  ความฝันที่จะคว้าเกียรตินิยมพังทะลาย  เกรดออกมาแบบนี้ได้ไง
วิชาหน่วยกิจเกรดเกรดเฉลี่ย
EC2113P2.25
EC2123P2.25
EC2143G4
EC2191P2.25
EN2013P2.25
PY1053P2.25
ST2093P2.25
รวม19 2.53
สรุปคือผมได้เกรดเฉลี่ยเพียง 2.53 ในภาคเรียนที่ 1 ของปีที่ 2  ซึ่งผมไม่เข้าใจกับผลสอบที่ออกมามากๆ  โดยเฉพาะวิชาอัตนัยที่ผมมั่นใจ  โดยเขียนไป 2 เล่มทั้ง 2 วิชา อีกทั้งผมทราบคำตอบและเข้าใจคำตอบทั้งหมด  ส่วนวิชาอื่นๆผมไม่ขอพูดถึงแล้วกันนะครับ   จากวันนั้นทำให้ผมเสียความมั่นใจลงไปมาก  และคิดว่าการคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 คงเป็นไปได้ยากล่ะ  แต่ก็ยังไม่หยุดสู้นะครับ  ก็เลยคิดว่าถ้าอันดับ 1 ไม่ได้ ขอเป็นอันดับ 2 ก็ยังดี  เป็นอันจบไปภาคเรียนนี้ กับความเซ็ง และเหนื่อย
เข้าสู่ภาคเรียนที่ 2 : ปรับกลยุทธ์ใหม่  ลาก่อนชีทหน้าราม
                พอเข้าภาคเรียนที่ 2 ของปี 2  ผมได้เรียนรู้จากภาคเรียนที่ 1 แล้วว่า รายละเอียดของเนื้อหามันมากขึ้น  ชีทหน้ารามนั้นเป็นการสรุปหัวข้อหลักๆเท่านั้น  ทำให้ผมได้เป็นลูกค้าของสำนักพิมพ์เสียที  ก็เลยจัดไป 7 วิชา  ได้แก่ EC213 , EC215 , EC217 , EC341 , EN202 , PA260 , PA330  ในภาคเรียนนี้  ผมได้เลือกวิชาโท เป็นของคณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารรัฐกิจ  ซึ่งสาเหตุที่เลือกเพราะว่าในตอนแรก ผมจะเลือกเป็น วิชาในคณะคือ เศรษฐศาสตร์การเงิน  แต่วิชาเอกผมคือ เศรษฐศาสตร์การคลัง  จึงทำให้วัน และเวลาที่เรียน มันชนเกือบทุกวิชา  จึงทำให้ผมเลือกวิชานอกคณะแทน  อีกอย่างคือ เห็นเขาบอกว่าง่าย เลยอยากรู้ว่าจริงเปล่า 555+ ( ปรับแผนจะคว้าเกียรตินิยม)
บรรยากาศในห้องเรียน : มันช่างเงียบเหงาจริงๆ
ทีนี้ได้เรียนวิชาในคณะแล้ว  จากเด็กนักศึกษา 7-8 ร้อยคน  คราวนี้เหลือไม่ถึง 30 คนต่อ 1 ห้อง  ทีแรกประหลาดใจมาก (แต่พอเรียนจบถึงทราบ) เป็นเพราะคนเรียนเศรษฐศาสตร์ รามคำแหงมีน้อยมาก ปีที่ผมจบมีเพียง 700 กว่าคนเองครับ  ส่วนคณะอื่นๆเช่น รัฐศาสตร์ , มนุษย์ศาสตร์ จบทีเป็นหลักหมื่นคนครับ ( พึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเสียงส่วนน้อยในสังคม 555+)
คราวนี้ผมมีปากกา ที่เป็นสีๆ ไว้โฟกัสส่วนที่สำคัญๆครับ  แต่ยังคงยืนเอกลักษณ์เดิม คือ ไม่จดอะไรเช่นเคย  ( เคยมีเพื่อนชาวคณะถามเหมือนกันว่า ขอดูเร็คเชอร์หน่อย ผมบอกไปว่า “ไม่มีครับ” ) แปลกเหรอเรียนหนังสือไม่เคยจด 555+  แต่ในความเป็นจริงนั้นควรจดนะครับ  อันนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ ( ถ้าผมจดคงทำได้ดีกว่านี้ )
ในระหว่างเรียนก็ได้เพื่อนเพิ่มครับ  อันนี้ควรมีนะครับ (ผมได้เพื่อนจากการทำรายงาน) แต่ในความเป็นจริงแล้วควรหาเพื่อนร่วมคณะไว้นะครับ  มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน  ทั้งเรื่องเรียน และเรื่องงาน  อย่าคิดว่าตัวเราเก่ง แล้วเท้าไม่แตะพื้นนะครับ (ไม่น่ารักเบย)
หลังจากได้รู้จักเพื่อนๆใหม่ในคณะบ้างแล้ว  ก็มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นเลยครับ  มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำรายงานกลุ่มเดียวกัน  เขาแนะนำผมว่ารู้จัก “ชมรมเศรษฐศาสตร์” หรือเปล่า  เพราะมีแนวข้อสอบเก่าๆให้เราได้เขาไปเลือกใช้ทบทวนและเกร็งข้อสอบได้  ซึ่งผมไม่ทราบว่ามีจริงๆครับ  ซึ่งจุดนี้สำคัญมากจริงๆครับ  ทำให้ผมไม่ต้องไปพึ่งข้อสอบหน้ารามอีกต่อไป  เพราะว่าที่ชมรมเศรษฐศาสตร์นี้มีข้อสอบเกือบทุกวิชา  ผิดจากข้อสอบหน้าราม ที่ข้อสอบแนวข้อสอบอัตนัยมีน้อยมาก แถมเฉลยผิดๆถูกๆอีก  งั้นผมขอข้ามไปถึงผลสอบเลยนะครับ  ตามนี้เลยครับ
วิชาหน่วยกิจเกรดเกรดเฉลี่ย
EC2133G4
EC2153P2.25
EC2173G4
EC3413P2.25
EN2023P2.25
PA2603G4
PA3303P2.25
รวม21 3.00

พอสอบเสร็จผลสอบออกมา  มีเรื่องคาใจ 2 เรื่องคือ วิชา EC215 อันนี้ผมยอมรับครับว่าทำข้อสอบได้ไม่หมดทุกข้อ  เป็นเพราะว่าเต็งข้อสอบผิดพลาด และไม่คลอบคลุม ซึ่งตอนนั้นผมทำได้แน่ๆ 3 จาก 5 ข้อ ซึ่งผลก็คือน่าจะผ่านแบบได้ P  แต่ตอนทำข้อสอบนั้นมีความคิดหนึ่งวิ่งอยู่ในหัวคือ  “จะปล่อยตกแล้วรอสอบซ่อมใหม่เพื่อเอา G จะดีหรือไม่” แต่คิดอีกทีเสียเวลา และศักดิ์ศรีมาก ผมเลยตัดสินใจทำไปเต็มที่ P ก็ไม่เป็นไร  ส่วนอีกประเด็นคือวิชา EC341 อันนี้น่าจะต้องได้ G  เพราะว่าเขียนไปแบบเต็มที่ ตรงตามวิชาการ แต่ทำไมได้แค่ P หว่าไม่เข้าใจจริงๆ ( สุดท้ายผมถึงรู้ว่าเพราะอะไร ? ตอนท้ายผมจะบอกนะครับ )
Summer ปี 2 :  ผลการเรียนมันช่างฟินสุดๆ
                พอเข้า Summer ที่ 2 คราวนี้เปลี่ยนกลยุทธเล็กน้อย  ลงวิชาง่ายๆเพิ่มเข้ามาบ้าง  แล้วก็เลือกวิชาโทในคณะที่อยากเรียน  และก็วิชาบังคับอีกหนึ่งวิชา  คราวนี้เปลี่ยนใหม่  ตอนเรียนเอาสมุดมาจดบ้างแล้ว  แต่ก็ไม่ได้เอามาจดวิชาการนะครับ  ผมเอามาจดตัวอย่างที่พวกอาจารย์ชอบยกตัวอย่าง (อันนี้แหละครับ ที่ผมบอกว่าเป็นตัวที่ผมพลาดไปในการสอบอัตนัยทุกๆครั้ง)
ผมขอขยายความในส่วนการยกตัวอย่างในเวลาสอบนะครับ  สาเหตุที่ผมไม่ได้เกรด G ในวิชาอัตนัยก่อนๆเป็นเพราะว่าผมยกตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับของผมเอง  แต่อาจารย์ผู้ตรวจอาจจะไม่ชอบ หรือไม่เข้าใจ  เขาอาจจะไม่ให้คะแนนเราสูง  แต่หาก “เราจดตัวอย่างที่เขาชอบพูด “ จะทำให้เวลาตรวจข้อสอบ อาจารย์เขาจะชอบและถูกใจ  เพราะว่า ประการแรก คือ  เขาไม่ต้องคิดต่อว่าตัวอย่างนั้นถูกหรือไม่ เพราะว่าเป็นตัวอย่างของตัวอาจารย์เอง  ประการที่สอง คือ อาจารย์ในเมืองไทยส่วนใหญ่ ชอบให้นักเรียน นักศึกษา เคารพในความคิดของอาจารย์ผู้สอนทั้งหมด  และจะไม่ค่อยยอมรับหลักคิด หรือแนวคิดอื่น (พวกความคิดปัจเจกอย่างผมก็เสร็จล่ะสิคร๊าบ)
เอาเป็นว่า Summer นี้ผมเปลี่ยนกลยุทธ์ตั้งแต่การเลือกลงวิชา ยาวไปจนถึงการเขียนข้อสอบอัตนัยกันเลยทีเดียว  งั้นเราไปดูผลลัพธ์ที่ได้กันเลยครับ
วิชาหน่วยกิจเกรดเกรดเฉลี่ย
EC2163G4
EC3313G4
PA3403G4
PS1033G4
RU1000S0
รวม12 4.00
ผลสอบออกมาแบบที่ตั้งเป้าไว้เลยครับ  4.00 ครั้งแรกของการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย  ไม่ต้องพูดคำพูดอะไรมากมายครับ  สรุปได้สั้นๆเลยว่า “ ฟินง่ะ ”
หลังจากผลการเรียนในช่วงหลังเป็นที่น่าพอใจ  ผมก็กลับเข้าสู่หนทางเพื่อคว้าเกียรตินิยมอีกครั้ง  เพียงแต่ปรับเป้าเล็กน้อย เป็นคว้าอันดับที่ 2 แทนละกัน
สรุป  สิ่งที่ทำให้การเรียนประสบผลสำเร็จ  มีดังต่อไปนี้
1.)    ต้องหาจุดบกพร่องของตัวเองให้ออกว่า ผิดพลาด ตรงจุดไหน
2.)    ต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่ขั้นตอนเลือกลงวิชา  เพื่อลดความเครียดและความกดดัน
3.)    ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียน และวิธีการตอบข้อสอบ
4.)    วิเคราะห์อาจารย์ผู้สอนทุกวิชา  ว่ามีแนวการสอนแบบใด ทัศนคติเป็นอย่างไร เปิดกว้างทางความคิด หรือ ยึดติดกับตัวเอง
5.)    เพื่อน คือหนึ่งองค์ประกอบของความสำเร็จ หากคุณรู้จักแบ่งปัน เพื่อนก็จะแบ่งปันกลับมา
6.)    หากวางแผนใดแล้ว  ควรทำตามแผนที่ตั้งไว้  อย่าเดินออกจากแผนระหว่างทาง  แม้ว่าจะเจออุปสรรคใดก็แล้วแต่
สุดท้ายนี้ก็จบเรื่องราวของการเรียนในปี 2 ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ  และเช่นเคย หากใครต้องการ
ติดตามบทความผมก็เข้าไปติดตามได้ที่ Special Story ใน Facebook หรือใน Blog ที่ Special_Pong ได้เลยครับ
 “ ปัญญาที่มีสติ เหนือกว่า อาวุธใดๆในโลกนี้”
                                                                               Special_Pong